เปิดเบื้องหลังคว้ามงฟ้า โอปอล สุชาตา ที่หลายคนไม่เคยรู้ เคยร้องไห้หน้ากระจกนับครั้งไม่ถ้วน เล่าเคล็ดลับ Manifest ชีวิตจนได้ Miss World 2025 และปมในใจหลังคว้ามง เสียความสัมพันธ์แต่ไม่เสียความฝัน ในรายการ WOODY FM

Feeling ตอนนี้กับชีวิตเป็นยังไงบ้าง?

โอปอล : ความจริงหนูยังรู้สึกเหมือนเดิมนะคะ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในวงการนางงามแล้ว เราทำงานจริงจังมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นตั้งแต่ปีแรกค่ะ เลยรู้สึกว่ายังคงเป็นการทำงานเหมือนเดิม เพียงแค่ว่าทำงานกับองค์กรใหม่ ก็อาจจะมีหลายๆ อย่างที่เราต้องปรับแล้วเป็นระดับโลกด้วย ก็อาจจะมี work culture หลายๆ อย่างที่เราค่อนข้างชินกับการทำงานกับทีมในไทย พอไปโน่นแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นในมุมที่แบบต้องดูแลตัวเอง ต้องจัดการทุกอย่างเอง หรือจะเป็นการทำงานกับต่างชาติ แล้วแต่ละประเทศที่เราไปไม่เหมือนกันเลย ก็จะเป็นในเรื่องนั้นมากกว่าที่แบบเปลี่ยนไปคล้ายๆ culture shock

คำถามที่ทุกคนจะถามคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าทุกคนจะถามคุณตลอดไป คำถามนั้นคืออะไร?

...

โอปอล : How are you doing? This is the reason why ค่ะ คือถ้าเกิดว่าหนูจะไปทุกที่แล้วทุกคนจะถามคำถามนี้ทุกที่ มันมีหลายมุมมาก หนึ่งคือเพราะเรารู้ว่าช่วงชีวิตนี้เราจะเจออะไรเยอะมาก อย่างน้อยการที่เขาถามคำถาม simple แบบว่า how you doing ค่ะ I could answer it in so many ways ที่เราอัปเดตว่าเป็นยังไงมาบ้างกับชีวิตนี้ คำถามนี้มันช่วยเราได้ด้วยนะคะ 

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแบบช่วงนี้แบบ I holding on ไม่ไหวแล้ว sometimes แค่คำถามว่าแบบ How are you doing มันเหมือนแบบกำลังเจออะไรอยู่ แล้วพอถาม It's just simple as that จะตอบออกมาก็ได้ว่า ชีวิตมาแบบนี้ๆ หรืออาจจะตอบแค่ว่าช่วงนี้ไม่ไหว I need someone to talk to แล้วมันเป็นคำถามที่ถามเมื่อไหร่ในชีวิตมัน Pull you up ได้ค่ะ แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนควรจะถามกันทุกวัน

เชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่มันเป็นการเช็กอุณหภูมิของตัวเราเองด้วย?

โอปอล : ใช่ค่ะ I say it's okay เราต้องเปิดโอกาสให้คนแบบ honest กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เพราะว่าย้อนไปตั้งแต่คำถามเลย โลกมันไปไวมาก รายการเสร็จ we always on to something จนบางทีเราไม่ได้แบบว่าคนรอบข้างว่าเขาโอเคไหม หรือแม้กระทั่งตัวเราเองโอเคไหม

ถ้าคุณต้องการใครสักคนที่จะคุยด้วยที่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้รู้สึกยังไง มันมีหลายระดับ และเรายังสามารถเจาะลึกลงไปได้อีกว่าเพราะอะไร แค่เพียงการที่ได้ฟังกันและกัน ก็ช่วยทำให้ความรู้สึกนั้นเบาลงได้แล้ว?

โอปอล : ใช่ค่ะ เพราะเหมือนกับว่าคุณได้พูดมันออกมา

ตอนนี้อายุ 21 ใช่ไหม?

โอปอล : ใช่ค่ะ

คุณผ่านอะไรมามากจริงๆ กว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงงานหนักที่คุณทำมาตลอดหลายปี ได้ค้นพบคุณค่าของตัวเอง แล้วสำหรับตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรบ้าง?

โอปอล : เป็นการเดินทางที่หนักหนาสาหัสจริงๆ บอกตามตรงนะคะ เพิ่งรู้คุณค่าของตัวเอง รู้ว่าเรามีศักยภาพ รู้ว่าเรามี ศักยภาพและความหมายในชีวิต มันหายากมากนะคะ โอปอลดีใจมากที่เรามาอยู่บนเส้นทางนี้ แล้วเจอ value part หนึ่งของชีวิต เหมือนที่เราพูดใน Homecoming Speech มันออกจากใจจริงๆ ไม่มีอะไรที่จะพูดเลยนอกจากขอบคุณที่ให้โอกาสเราในการทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า เพราะว่าแค่อายุ 21 ยังมีอะไรอีกมากมายในชีวิตให้ได้เจอ เพิ่งใช้ชีวิตมาแค่นี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่าอยากให้อายุขัยมนุษย์มันนานกว่านี้ จะได้มีเวลาสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้เยอะๆ รู้สึก appreciate มาก 

เพราะว่าวันก่อนเพิ่งคุยกับพี่ที่รู้จัก แล้วเขาพูดกับเราว่า ดีใจแทนโอปอลจังเลยที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดที่ตัวเองอยากยืนด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เพราะว่าเราเคยคุยด้วยกันตอนนั้นก็คือไปงานเปิดร้านของพี่ที่รู้จัก แล้วเราก็นั่งคุยกับเขาแล้วอธิบายเพราะว่าปอลวางแผน เราคุยกับเขาเลยว่า ตอนอายุเท่านี้ช่วงนี้เราจะเรียนแล้ว จะเบรกไปทำอันนี้เมื่อเราสำเร็จ รู้สึกว่าอันนี้จะเป็นพื้นฐานในการไปต่ออาชีพในฝันที่เราอยากเป็น 

ก็คือลิสต์ให้เขาเลยว่าเข้ามหาวิทยาลัยถึงปีนี้ โอปอลจะมาประกวดนางงามใหม่ จะไประดับโลก จะได้รับตำแหน่งไม่ได้ตำแหน่งแล้วก็กลับมา จะมาสานต่อเรื่องนี้ๆ แล้วชีวิตโอปอลรันแบบนั้นเป๊ะๆ เลย แล้วเขารู้สึกแบบว่าดีใจแทน ก็เลย realize ว่า I'm so fortunate ที่เรามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักแล้วก็อยากทำ แล้วชีวิตมันไปตามนั้นจริงๆ แต่ว่าเราก็กลับมานั่งคิดว่า It's not just luck ก็ประเมินตัวเองเหมือนกันแล้วก็เป็นความโชคดีที่ประเมินชีวิตตัวเองได้ค่อนข้าง accurate so far

...

อยากจะขอแสดงความยินดีที่คุณสามารถคว้ามงกุฎ Miss World ได้ในวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน รวมถึงพี่ด้วย?

โอปอล : จริงหรือเปล่าคะ

ในวันนั้นในชีวิต เราไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือมุมมองอะไรเลย แค่มองว่ามันช่างงดงาม มันคือการเฉลิมฉลองของชีวิต ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงสิ่งนั้น และคุณก็ทำมันสำเร็จได้ตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี?

โอปอล : มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ ที่อยู่ใน position นี้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันร้องไห้หน้ากระจกมากี่ครั้งแล้ว เพราะต้องแกล้งทำเป็นว่าฉันชนะ ร้องไห้ทุกครั้งที่เล่นแบบนั้น แบบว่าทุกครั้งที่เราเทรนเสร็จ ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือเสร็จ ทุกครั้งที่เตรียมตัวเสร็จ ก่อนนอนทุกครั้ง 

I can't help myself กระโดดออกมาจากเตียงแล้วก็ไปยืนหน้ากระจกแล้วก็เปิด soundtrack ที่เขาจะเปิดเวลาเขาจะ announce ค่ะ แล้วพอมันถึงพีกของ soundtrack ก็จะแบบ imagine ว่าเขาพูดชื่อไทยแล้ว แต่บางที It gets so serious เพราะว่าเราแบบอินมากๆ กับสิ่งนี้ แล้วพอย้อนกลับไปมันทำให้เห็นว่า I really wanted this

ทำแบบนี้นานขนาดไหน?

โอปอล : ตั้งแต่ even before เข้าวงการอีกมั้งคะ เพราะว่าเราก็เห็นรุ่นพี่เขามีโมเมนต์ของเขามาเหมือนกัน Just like when you saw พี่ปุ๋ย แล้วทำทุกครั้งกลับมาจากโรงเรียน แต่มันแค่บ่อยขึ้น ตอนช่วงที่เราได้อยู่ในเส้นทางนี้จริงๆ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแค่ว่าแบบชนะแล้วก็ no มันคือคุณเห็นเส้นทางก่อนที่ยูจะชนะด้วยแล้ว เห็นว่ามันเหนื่อยแค่ไหน แล้วมันแบบ rewarding มัน deserving แค่ไหน ก็เลยมีน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจแบบออกมา Manifestation

แปลว่าคุณได้มโนภาพ ตั้งใจสร้างมันมาตลอดเลยใช่ไหม?

...

โอปอล : ใช่ค่ะ

คุณได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเองอย่างแท้จริงในทุกวันนี้ Manifestation คืออะไร?

โอปอล : ตอนที่โอปอลรู้จักกับคำนี้ครั้งแรก ก็คิดเหมือนกันว่าจะเวิร์กเหรอ จะทำได้เหรอ เอาง่ายๆ เลยหรือแม้กระทั่งสวดมนต์ โอปอลเป็นชาวพุทธ แล้วเราก็เข้าวัดแล้วก็สวดมนต์ แต่ว่าอันนั้นมันก็ปล่อยให้ไปในเรื่องของความเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่โอปอลจับจุดได้เหมือนกันระหว่างสวดมนต์กับ manifestation เราไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พาเราไปอยู่ตรงจุดนั้น มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ามันเป็นพลัง หรือว่ามันเป็นโชคดี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่

แต่โอปอลรู้ว่าทุกๆ ครั้งที่ manifest แล้วทุกครั้งที่เราสวดมนต์ แล้วขอพรว่าอยากได้อะไร That's a reminder ว่าขอเสร็จแล้ว ลุกไปทำอะไร You manifest นั่งอยู่หรือแบบฝันเห็นตัวเอง แต่ว่าพอวาดฝันนั้นเสร็จแล้ว ก็จะมานั่งคิดกับตัวเองว่าเราต้องทำยังไง ให้ไปอยู่ตรงนั้น ต้องใช้ชีวิตยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นการเตือนตัวเองว่า you can't just sit around ขออย่างเดียว คุณต้องรู้ด้วยว่าจะไปทำอะไรต่อ

...

สิ่งที่ต้องแลกมากับการมาถึงจุดนี้คือเรื่องเวลา คุณจัดการเวลาให้กับเพื่อนๆ และคนรอบข้างที่คุณรักยังไง?

โอปอล : คิดว่าไม่เก่งเรื่องนี้เลย แย่มากจริงๆ รู้สึกว่าห่างไกลค่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองไหมหรือว่าเพื่อนก็คิดเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเราไม่ดีพอกับการให้เวลาแล้วก็ความสนใจกับคนรอบข้าง แล้วก็บางครั้งก็รู้สึกว่าเหมือนต้องโทษตัวเองว่าเราโฟกัสกับสิ่งที่ชีวิตอยากจะทำมากเกินไปหรือเปล่า และก็มักจะบอกกับผู้คนอยู่เสมอว่า คุณต้องรู้จักขอบคุณในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต 

เพราะว่าฉันก็มีเพื่อนบางคนที่บอกว่าอยากจะเป็นอยากจะเป็นแบบโน้นนี่นั่นแล้วก็ work hard เราไปบอกเขา แต่ว่าเราต้องดูด้วยนะว่าระหว่างทางถ้าเกิดว่าเราเอาแต่ทำงานแล้วมันขาดการใช้ชีวิตไป แล้วยูไม่ได้รู้จักเห็นคุณค่าแม้กระทั่งดอกไม้เล็กๆ ที่เห็นระหว่างทางที่มันเติบโตตามธรรมชาติ ตอนนี้คือแล้วฉันจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้น รู้สึกอายมากที่ไปบอกเขาแบบนั้น เพราะว่าเราเป็นแบบนั้น 

คือหนูทำงานตั้งแต่ 18 ใช่ไหมคะ ซึ่งรู้สึกว่าบางอย่างที่รู้สึกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ใหญ่มากเทียบกับหลายๆ คนที่เขาก็จะต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอายุน้อยกว่าปอลอีก แต่มันเป็นสิ่งที่เรา value เหมือนกัน เราบ้างานตั้งแต่อายุ 18 เลิกเรียนแล้วเพื่อนไปคาราโอเกะ เราเลือกที่จะไปทำงานแล้วก็ไม่ได้สร้าง relationship กับเพื่อนหรือใครที่เรา consider ว่าเพื่อน แต่สิ่งที่โอปอลรู้สึกว่าทำพลาดคือ relationship ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เราไม่ได้ตั้งใจรักษามันไว้ 

คือตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกัน แต่รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในแบบ cycle ของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนเป็นยังไง แล้วเพื่อนก็ไม่กล้าทักมาหา เราก็รู้สึกห่างกับเพื่อนไป เคยถามเพื่อนว่าเรายังเหมือนเดิมกันไหม เพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเพื่อนเลยเราห่างเพื่อนมาก เราอาจจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมหรือเปล่า เพื่อนบอกมาว่าพวกเขารู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา  We know what's going on แต่ว่าเลือกที่จะไม่ interfere เพราะกลัวว่าเขาจะมาขัดกับการเติบโตของเรา  (น้ำตาไหล)

คิดถึงอะไรอยู่?

โอปอล : เพราะว่าวันก่อนเพื่อนทักมาถามว่าอยู่ไหน โอปอลบอกว่าอยู่อังกฤษ กำลังจะกลับไทยแล้ว เขาก็บอกว่าจะกลับไทยเหมือนกัน เผื่อได้นัดกัน แล้วเพื่อนเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าไม่กล้าทักไป เพราะว่าไม่อยากรบกวน รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนภาษาอะไร เพื่อนถึงไม่กล้าทักมา 

อยากให้ทักค่ะ เพราะว่าคือก็เป็นเพื่อนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าถึงให้เพื่อนทักมาชวนเราก็ไม่ว่างไป เราไม่อยากปฏิเสธเพื่อน แต่ว่าในขณะเดียวกันรู้สึกว่าเราเป็น bad friend ไม่มีคุณสมบัติเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาสามารถทักมาได้

เคยกำหนดวันเพื่อนหรือยัง แบบเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง?

โอปอล : ไม่เคยเลยค่ะ ใช่อันนี้เป็นสิ่งที่หนูรู้สึกว่าทำพลาด เพราะว่าไม่สามารถที่จะ balance เรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเราทุ่มเทและเต็มไปด้วยแพสชันทั้งกับชีวิตและสิ่งที่ทำอยู่ กลัวว่าเราจะไม่สามารถที่จะยืนด้วยตัวเองได้ หรือว่าดูแลครอบครัวได้ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ 

มันเลยทำให้เราทำงานๆ แล้วเลือกที่จะทำงาน over สิ่งเหล่านี้ เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ รู้สึกว่ามันมีอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนแรกคือโอปอลรู้สึกว่าจะไม่ทำตรงนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะเจ็บเยอะ แล้วก็บางครั้งก็นั่งถามตัวเองว่าทำไมต้องมาเจออะไรที่มันบั่นทอน แทนที่เราจะไปทำอย่างอื่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ของตัวเอง

หมายถึงว่าช่วงนี้ก่อนหน้านี้?

โอปอล : ช่วงก่อนหน้านี้ค่ะ แล้วรู้สึกว่าเข้าใจนะว่าอยากทำความฝันตรงนี้ให้เป็นจริง แต่มัน is it worth it ที่จะเสียสภาพจิตใจหรือว่าเหนื่อย หรือว่าทำอะไรกับตรงนี้ จนได้มาทำจริงๆ รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะแลก ย้อนกลับไปก็ภูมิใจในตัวเอง สุดท้ายแล้วคือเราเรียนรู้จากทุกๆ อย่าง ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมอยู่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสตรงนี้ 

ถ้าเราไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลาอีกเยอะมากในชีวิต แล้วก็เสียหลายๆ อย่างที่เราอยากจะทำ เพราะว่าเรารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าเป็นคนอยากทำหลายๆ อย่างในชีวิต รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกหนึ่ง factor ที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ากับการเกิดมาในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ทำรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ถ้าชีวิตนี้ไม่ทำอันนี้แล้ววันหนึ่งเราหายไปจากโลกนี้เสียดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงด่าว่าเสียโควตาการเกิด

ชมคลิป

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม