จากไอเดียตั้งต้นประเด็นบัญชีเงินฝากที่ไม่เคลื่อนไหว สู่ภาพยนตร์จาก Netflix ที่จะพาไปพบกับเรื่องราวสุดระทึกใน "ลักกันวันตาย (Everybody Loves Me When I’m Dead)" ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ นิธิวัฒน์ ธราธร ซึ่งเล่าเรื่องราวสุดเข้มข้นของสองพนักงานธนาคารที่ต่างตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางการเงิน จึงร่วมมือกันใช้ช่องโหว่ของธนาคารขโมยเงินจากบัญชีคนตาย โดยไม่คาดคิดว่าการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวนี้จะผลักให้ทั้งคู่ตกลงไปสู่ห้วงอันตรายที่บานปลายเกินควบคุม

ซึ่งหนังเรื่องนี้ ได้พระเอกดังอย่าง เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ที่หวนคืนการแสดงหนังในรอบ 6 ปี และล่าสุด เคน ธีรเดช ได้เดินทางมาถึงไทยรัฐ พร้อมกับให้สัมภาษณ์เปิดใจกับ ไทยรัฐบันเทิง ผ่านทางรายการ The Story Of... ทางช่องยูทูบ Thairath Variety - ไทยรัฐวาไรตี้ ถึงการตัดสินใจกลับมาเล่นหนังในรอบ 6 ปี โดยเจ้าตัวได้เล่าถึงการทำงานในครั้งนี้ว่า

...

หนังเรื่อง ลักกันวันตาย เป็นหนังในรอบกี่ปี?

"ถ้าหนังเนี่ย น่าจะห่างไป 6 ปีครับ ซึ่งหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องของ "โต" เป็นผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งเหมือนกับแบกภาระหน้าที่ของครอบครัวไว้คนเดียว ภรรยาไม่ได้ทำงาน แล้วก็เหมือนอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาแทนที่หน้าที่การงานของเขา มีแอปพลิเคชั่นต่างๆ เข้ามา ทำให้ความสำคัญในตัวเขาก็เหมือนกับน้อยลงและหมดไป

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่ตั้งใจทำงานและทุ่มเท แล้วก็ซื่อสัตย์กับองค์กรมาโดยตลอด แต่พอมาถึงวันนี้ ทุกอย่างมันเริ่มสั่นคลอน เทคโนโลยีที่เข้ามา เด็กรุ่นใหม่ก็โตกว่าเขา กลายเป็นหัวหน้าเขา และเขากลายมาเป็นลูกน้อง เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับว่าเขาก็เริ่มมีความกดดันต่างๆ จากหลายๆ ทาง ทางครอบครัว แล้วก็จากทางที่ทำงานครับ

จนวันหนึ่งเขาต้องการใช้เงิน เพราะว่าลูกสาวยังเล็กอยู่ ลูกสาวคนเดียวและก็รักมาก เหมือนกับทุ่มเทแล้วอยากทำทุกอย่างให้ ก็เลยเหมือนกับไม่รู้จะหาทางออกยังไง ไปเจอกับเพชร (ริว วชิรวิชญ์) เป็นบัดดี้กัน สองคนนี้ก็เลยอยู่ในสภาวะเดียวกัน เหมือนร้อนเงินทั้งคู่

ริวไปเจอช่องทางว่า มันมีช่องโหว่ว่ามันมีบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว เราเรียกมันว่า บัญชี Dormant Account (บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว) คือเป็นบัญชีของคนตาย ที่เหมือนกับว่า มันจะคาอยู่ในแบงค์ ซึ่งเหมือนกับว่าถ้าเราจะเอาเงินตรงนี้ออกมา ใครจะรู้ เพราะยังไงเงินมันก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว มันไม่มีใครเช็ค ถ้าญาติพี่น้องไม่มีใครมาเช็ค ก็ไม่มีใครรู้ ก็เลยเริ่มเกิดเป็นไอเดีย เรามาทำสิ่งนี้กันดีกว่า กับภาวะต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาครับ"

บทของ โต เป็นผู้ชายแบบไหน?

"สำหรับบทของ โต ก็คือเขาเป็นผู้ชายที่เรียกว่าแบบเป็นคนรุ่นเก่าหน่อย คือแบบอยู่กับองค์กร รักในองค์กร คนอื่นอาจจะแบบ อยู่นี่เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ แต่คนนี้เขาซื่อสัตย์ เขาอยากจะก้าวหน้ากับธนาคาร เขาอยู่มาตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้จัดการสาขา

แต่สุดท้ายแล้ว ฝันมันไม่ได้อย่างนั้น โลกมันเปลี่ยนไป อย่างที่บอก เขากลายเป็นได้แค่ รองผู้จัดการ แล้วก็มีเด็กที่อายุเพิ่ง 30 มาเป็นผู้จัดการเขา และมีสิทธิ์ว่าอาจจะโดน Lay Off ด้วย คือเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วก็ทุ่มเทกับทุกอย่าง

แต่ว่าถึงวันหนึ่งมันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วก็ไม่เคยทำความผิด แต่พอวันหนึ่งที่เขาเริ่มจะถลำลึกเข้าไปสู่เรื่องราวต่างๆ มันเลยทำให้เขาเหมือนกับว่าเริ่มไม่มีเหตุผลตรงนี้ เหมือนคนที่ไม่เคยแหกกฎ แล้วพอวันหนึ่งเริ่มแหกกฎเข้าไปปุ๊บ ก็จะแบบค่อยๆ หลุดทีละนิดทีละหน่อย"

ตอนที่รับบทนี้ต้องมีการรีเสิร์ชตัวบท หรืออาชีพนี้ก่อนไหม?

"ก็จริงๆ ก็มีการคุยกับพี่ต้นนี่แหละครับ ผู้กำกับ ก็มีการคุยคร่าวๆ แต่จริงๆ แล้วอย่างตัวพี่ต้นเองจะเน้นเรื่องเคมีของนักแสดง คือเหมือนกับว่าการที่ผมเข้ากับแต่ละคนๆ เรื่องแบ็กกราวนด์ต่างๆ ของตัวละคร เราก็คุยกันเยอะอยู่ ที่มาที่ไปครับ"

ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นหนังเรื่องนี้?

"หนึ่งคือเป็นพี่ต้นด้วย คือผมติดตามผลงานของพี่เขาอยู่แล้วจากเรื่องก่อนหน้านี้ ล่าสุดก็ Analog Squad ทีมรักนักหลอก ก็พอเป็นพี่ต้นก็อยากร่วมงานด้วย พอพี่ต้นเล่าถึงประเด็นหนังให้ฟัง เราก็เป็นคุณพ่อคนหนึ่งที่เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเหมือนกัน เรามีความรู้สึกยังไง เราอยากทำอะไรให้ลูกๆ ของเราบ้าง เราอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุด เรามีภาวะความเครียดของครอบครัวยังไง อันนี้เป็นประเด็นหนึ่ง

...

ก็บวกกับเรื่องบัญชีคนตาย เรื่อง Dormant Account ซึ่งผมว่าประเด็นนี้มันมีอยู่จริง และมันเกิดขึ้น แต่ว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ มันใหม่ บัญชีคนตายคืออะไร Dormant Account คืออะไร แล้วก็เอามาเล่าอยู่ในเรื่องราวที่เข้มข้น และก็น่าติดตามครับ"

ด้วยความที่ตัวหนังเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญ มีเครียดหรือกังวลอะไรไหม?

"ก็ปกติครับ จริงๆ ทุกครั้งที่เราเริ่มงานใหม่กับคนใหม่ๆ และเราก็ไม่ได้ทำงานมานานแล้ว มันก็มีความกังวลบ้างเป็นเรื่องปกติ เราก็รู้สึกว่าอันนั้นแหละมันคือความสนุกของอาชีพผมอย่างหนึ่งนะ มันคือความท้าทาย เราก็คงต้องปรับตัว อาชีพเราต้องเรียนรู้การปรับตัวอยู่ตลอดเวลา มาเจอคนใหม่ๆ สถานที่ กองถ่ายก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวันก็จะมีชาเลนจ์ของการทำงาน เรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องอะไรต่างๆ ครับ มันก็มีความสุขครับ"

ถ้ามีเงิน 30 ล้าน พี่เคนอยากเอาไปทำอะไร?

"มีเงิน 30 ล้านเหรอครับ คงเอาไปบริจาค โห ดูเป็นคนดี (หัวเราะ) เอ่อ มีเงิน 30 ล้านเหรอ เอาไปซื้อทองแล้วกันตอนนี้"

ห่างหายจากการแสดงไป 3 ปี พี่เคนต้องปัดฝุ่นการแสดงมั้ย?

...

"ก็มีครับ มี นอกจากพี่ต้นแล้วก็จะมีแอคติ้งโค้ชด้วย จะเป็นน้องอีกคนชื่อน้องปลา น้องปลานี่แหละ คุยก่อนจะไปซ้อม ก็จะคุยซักถามกันเยอะมากเลย ถึงรายละเอียดต่างๆ แล้วก็พอวันที่ไปซ้อมก็จะเริ่มให้เราเล่น เริ่มอะไรต่างๆ ก็ปรับเยอะ เพราะว่าจริงๆ ผมก็ไม่ได้เล่นหนังมาพักหนึ่งด้วย ล่าสุดที่ผ่านมาก็เป็นละคร

แล้วก็เหมือนกับว่าบางทีมันก็มีเรื่องเทรนด์ เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันเปลี่ยนไปด้วย ก็ปรับพอสมควร สุดท้ายก็ตอนเล่นก็ไปลงซีนกับน้องริว กับคนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน มันเหมือนกับว่ายังไม่รู้ว่าเคมีมันเป็นยังไง พี่ต้นเขามองหาเคมีระหว่างตัวละครเยอะมาก"

การทำงานในกองถ่ายเป็นยังไง

"เป็นระบบดีนะ ผมว่า ร่วมงานกับ Netflix ครั้งแรก ก็ตั้งแต่ก่อนทำงานแล้วล่ะ ก็จะมีการบรีฟถึงรายละเอียดต่างๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ข้อควรปฏิบัติต่างๆ อยู่ในกองถ่ายของแต่ละคน ซึ่งเราก็เอ้อๆ เขาชัดเจนดี แล้วก็ถือว่าทางกองก็ ทุกอย่างมันถูกแพลนมาอย่างดี คือมันมีปัญหาอยู่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องปกติ แต่มันก็ยังอยู่ในกรอบที่เขาวางไว้ครับ"

หนังปิดกล้องไปแล้ว พึงพอใจการแสดงในรอบ 3 ปีของเรามากน้อยแค่ไหน

"คือเราตัดสินจากการที่เราทำงาน เราก็เต็มที่ แล้วก็ได้เจอกับทีมทุกคน น้องๆ กับริว (ริว วชิรวิชญ์) กับเล็ก (ฮิวโก้ จุลจักร) ที่อยู่ในเรื่อง ทุกคนก็เหมือนว่าเรามาต่างที่ก็จริง แต่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันที่เราจะนำพาสิ่งนี้ไปให้ถึงฝัน ซึ่งมันก็เป็นจุดศูนย์รวมที่ดี แล้วเราก็แฮปปี้ เหมือนกับเราก็ได้เพื่อนด้วยครับ"

...

ฝากติดตามหนัง "ลักกันวันตาย"?

"อย่างที่บอกครับ ผมว่ามันเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ในบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว อีกเรื่องหนึ่งคือมันพูดถึงค่านิยมของสังคมต่างๆ ในฐานะที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ สังคมบอกว่า เราทำเพื่อลูกให้ดีที่สุด มันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนอยากจะทำ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สภาวะทางการเงินหรืออะไรต่างๆ ของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน

แต่หลายๆ อย่างจะบอกว่า ถ้ามีลูก คุณต้องส่งลูกไปเรียนอินเตอร์ที่ดีที่สุด ถ้าคุณมีเงินคุณทำอย่างนี้ ลูกคุณได้รับนั่นนี่ ต้องไปเรียนพิเศษที่นี่นั่น ต้องได้ทำ แต่ถ้าคุณไม่ทำ มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก แต่ว่าบรรทัดฐานของสังคมอาจทำให้คุณรู้สึกผิด หรือรู้สึกไม่ดีพอ

เพราะทุกคนทำแบบนี้ ถ้าคุณไม่ทำ มันพลาด มันก็เลยเป็นประเด็น ผมรู้สึกว่า เออ มันมีอยู่จริง ผมสัมผัสได้ในคนรอบข้าง หรือในสังคม พ่อแม่ ที่ผมอยู่ มันเป็นแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ณ วันนี้

แล้วก็เป็นประเด็นที่ยังไม่มีใครมาแตะหรือพูดถึง ทั้งเรื่องบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว และเรื่องบรรทัดฐานของสังคม พ่อแม่ ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก แต่ในขณะเดียวกัน วิธีเล่าที่พี่ต้นเขาเอามานำเสนอ มันเป็นดราม่าทริลเลอร์ ซึ่งประเด็นที่ฟังอยู่ มันอาจจะ โห ยากว่ะ หรืออะไรอย่างนี้ แต่มันจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป มันจะมีความเข้มข้น แล้วก็ตื่นเต้น มันมีการตามล่า มันมีการ จากผู้ชายคนนี้ทำผิด จะมีคนมาเอาเงินคืน ครับ ก็น่าสนใจ น่าติดตามครับ"

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม