บางครั้งชีวิตเราก็เจอเรื่องเศร้า 

แต่ก็เป็นเรื่องโชคดีเหมือนกันที่เราผ่านมันมาได้


เราจะรู้ตัวได้ไงว่ากำลังเศร้า? เป็นคำถามที่ผุดในใจหลังดู A Real Pain คำตอบคือ เราอาจรู้ หรือไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนกับตัวเอกสองพี่น้องในเรื่องนี้ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าการไปร่วมทัวร์ประวัติศาสตร์ที่โปแลนด์ จะทำให้พวกเขาค้นพบความจริงบางอย่างที่ทั้งน่าตกใจ ชวนใจสลาย แต่ก็อบอุ่นใจแปลกๆ

เอาดีๆ ชื่อเรื่องไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ A Real Pain แค่แปลตรงๆ ก็คิดไปไกลแล้วว่าหนังเศร้าแน่ๆ แต่ชื่อเสียงของ เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก (Jesse Eisenburg) จาก The Social Network, Zombieland ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นทั้งผู้กำกับ คนเขียนบท และนักแสดงนำของเรื่อง กับ คีแรน คัลกิน (Kieran Culkin) จาก Succession นักแสดงร่วมอีกคน ผู้ชนะรางวัลเอ็มมี่ และลูกโลกทองคำ ก็ทำให้การไปดูหนังเรื่องนี้น่าสนใจขึ้น แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะแม้ว่าสารหลักๆ ของเรื่องจะเข้าถึงยาก แต่ก็ลึกซึ้ง ดิ่งสู่ใจจนเราต้องกลับไปคิดและคุยกับตัวเองว่าเราเคยมีสภาวะ หรืออาการเศร้าซึมลึกแบบนี้ไหม

A Real Pain เป็นเรื่องราวของสองพี่น้อง เดวิด (เจสซี่) และ เบนจี้ (คีแรน) ที่เดินทางไปเที่ยวโปแลนด์ เพื่อร่วมทริปประวัติศาสตร์ Holocaust (เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว) และเพื่อเยี่ยมบ้านเกิดของยายผู้ล่วงลับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่ค้นพบว่าต่างคนต่างก็เติบโตไปคนละแบบ คนหนึ่งพยายามอยู่กับปัจจุบัน เพื่อก้าวต่อไปกับอนาคตที่มั่นคง ส่วนอีกคนติดกับอดีตอันขมขื่นและเจ็บปวดจนไปไหนต่อไม่ได้

...

ระหว่างการเดินทางที่ให้บรรยากาศแปลกๆ เพราะเป็นการท่องเที่ยวที่แม้ว่าจะสะดวกสบาย แต่สถานที่เข้าเยี่ยมชมแต่ละที่ ไม่ว่าจะเป็นหลุมศพเก่าแก่ หรือ ค่ายกักกันเก่า Majdanek ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมือง Lublin เพียง 5 นาที ก็ทำให้ความรู้สึกของเดวิดและเบนจี้กระจัดกระจาย ความทรงจำหลายอย่างที่ถูกเก็บกดฉายชัดอีกครั้งจนทำให้บรรยากาศระหว่างกันน่าอึดอัด จนเมื่อทั้งคู่แยกตัวจากกรุ๊ปทัวร์ไปเยี่ยมบ้านเก่าของยายในวันต่อมา ความทรงจำเหล่านั้นก็เด่นชัดจนทั้งคู่ได้ค้นพบความจริงบางอย่างที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ส่วนตัวเราไม่เคยไปทัวร์แบบนี้ หรือแม้แต่ไปเยือนสถานที่ที่ซ่อนเรื่องราวโศกนาฏกรรมอันเจ็บปวด จะว่าเราหนีความจริงก็ได้ แต่คิดว่าคงรู้สึกกระอักกระอ่วนพิลึกหากต้องไปเดินดูสถานที่ที่ชวนหดหู่แบบนั้น แต่ก็ว่าไม่ได้ โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย และมีกลุ่มคนมากมายที่สนใจอยากรู้เรื่องในอดีต แม้ว่ามันจะทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ก็ปฏิเสธความอยากรู้ไม่ได้จนต้องลองไปสัมผัสสักครั้ง

แน่นอนว่าสมาชิกกรุ๊ปทัวร์คนอื่นใน A Real Pain ก็คงคิดแบบนั้น แต่สำหรับเดวิดและเบนจี้ บรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวในทริปนี้กลับพาพวกเขากลับไปหาอดีตที่เจ็บปวด แม้ว่าพวกเขาจะเลือกรับรู้ หรือยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม

เราว่าหนังดูไม่ยาก แต่จะเข้าใจสารที่หนังพยายามบอก หรือเข้าใจมากน้อยแค่ไหน คงต้องใช้เวลาย่อยสักหน่อย ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าสารที่ว่าลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะเรื่องของความเจ็บปวดที่แอบซ่อนในใจเรา และการรับมือ หรือการเยียวยาที่อาจไม่มีวันสิ้นสุด 

เหนือไปกว่านั้น หนังยังเปิดมุมมองให้เรามอง “เรื่องเศร้า” หรือ “ความเจ็บปวด” ในอีกมุม แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้มักจะกัดกินใจ หรือกลัดหนองในใจเรา แต่ความเศร้าจากบางเรื่อง มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนที่เราผ่านมันมาได้ 

ซึ่งเมื่อเราย้อนกลับไปคิดถึงตัวหนัง ที่เคยสงสัยหลังดูจบว่าเพราะอะไรถึงเลือกใช้การทัวร์ทริปประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวมาเป็นแกนกลางหลักของเรื่อง ตอนแรกก็เข้าใจว่าอาจเป็นเพราะหนังอยากเล่าเรื่อง “ความเศร้า” ในบริบทต่างๆ หรือในระดับที่แตกต่างกัน แต่เมื่อสะระตะและตกผลึกดีๆ ก็คิดได้ว่า ไม่สิ…การเลือกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นตัวอย่างที่ดีเลยล่ะจะบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดที่ซึมลึก ที่หลายคนอาจเลือกจะลืม ไม่คิดถึง หรือวางเฉยกับมัน แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ความเจ็บปวดที่ว่ามันไม่เคยจางหาย ทั้งเพราะมันคือความจริงของชีวิต และที่สำคัญ แม้ไม่อยากยอมรับแต่มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ผ่านพ้นเรื่องราวเลวร้ายขนาดนั้นมาได้

...

นอกจากสาระสำคัญที่เป็นจุดเด่น ไฮไลต์หลักของเรื่องอีกอย่างคือนักแสดงนำทั้งสอง อย่างที่เกริ่นตอนต้น ทั้ง เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก (Jesse Eisenburg) และ คีแรน คัลกิน (Kieran Culkin) ต่างก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง และได้รับการเสนอชื่อบนหลายเวทีรางวัลระดับโลก ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยเฉพาะการแสดงของ คีแรน ที่ทำให้เราทั้งฉงน สงสัย และหมั่นไส้ไปในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นการแสดงที่น่าทึ่งเพราะมันทำให้เราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเผชิญ ส่วนตัวคิดว่าเป็นเสน่ห์ และเป็นการแสดงที่น่าประทับใจมาก เพราะมันทำให้เราแทบละสายตาจากเขาไม่ได้เลย

...

เอาเป็นว่า A Real Pain ดีงามมาก หนังไม่ยาว ดูไม่ยากมาก แต่ทำเอาเราซึมลึกไปหลายวันเพราะตกผลึกช้า แต่ก็ยังอยากแนะนำให้ดู เพราะส่วนตัวคิดว่าหนัง inspired อย่างบอกไม่ถูก เพราะมันอาจทำให้เราต้องย้อนกลับไปทบทวนใจตัวเองดูเหมือนกันว่ามีอะไรที่ซึมลึก หรือติดค้างอะไรกับใครไหม เพราะบางทีถ้าเรารู้ และเลือกจะเผชิญหน้ากับมัน เราอาจจะได้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและเบาตัวมากขึ้น


จนกว่าจะพบกันใหม่