มันดีกว่าที่คิด 

ตอนแรกคิดว่าป้าบริดเจ็ทจะตกรุ่น 

แต่ป้ายังไหว และไปต่อได้!


20 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ Bridget Jones’s Diary (2001) ภาคแรกออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการหนังรักรอมคอมทั่วโลก ด้วยการเปลี่ยนภาพลักษณ์นางเอก จากสวย อ่อนหวาน ครบสูตร เป็นสาวโก๊ะที่ไม่ต้องสวยมาก แต่ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองอย่างที่สุดแล้ว ป้าบริดเจ็ทยังเป็นตัวแทนผู้หญิงที่มีความรักในตัวเอง ที่แม้ว่าเธอจะต้องล้มลุกคลุกคลานกับเรื่องราวต่างๆ กี่ครั้ง เธอก็ยังเรียก “ตัวเอง” กลับมาได้อย่างน่าประทับใจเสมอ

ปี 2025 นี้ บริดเจ็ท โจนส์ (เรเน่ เซลเวเกอร์) กลับมาอีกครั้งกับบทบาทใหม่ จากภรรยาทนายความชื่อดัง สู่ความเป็น “แม่ม่าย” และ “แม่เลี้ยงเดี่ยว” ที่ต้องรับมือ ลูกน้อยทั้งสอง, ความสูญเสีย, ความคาดหวังของคนรอบตัว รวมทั้ง ความเหงา ที่ถาโถมจนเธอแทบจะขยับตัวไม่ได้

...

แต่ป้าบริดเจ็ทก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะแม้ว่าจะต้องเจอเรื่องราวหนักหนาแค่ไหน ป้าก็ยังเอาอยู่ แม้ว่าจะแอบไปหลงหนุ่ม เอ๊ย! หลงทางไปบ้าง ป้าก็หาทางกลับมาเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่เราคิดว่าป้าไม่ตกรุ่น และไปต่อได้!

เอาจริงๆ ตอนเห็นตัวอย่างหนัง Bridget Jones: Mad About the Boy หรือชื่อไทยว่า บริดเจ็ท โจนส์: หลงหนุ่มหนักมาก ก็นึกค่อนขอดในใจว่า เอาอีกแล้ว หนังเก่าเล่าใหม่กลับมาอีกแล้ว แต่อีกใจก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าจะทำออกมาแล้วแป้กหรือได้ไปต่อ

ในสามภาคก่อนหน้า เราได้เห็นและรู้จักกับ บริดเจ็ท โจนส์ ในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่ตอนเดตหนุ่ม มีรักสามเส้ายุ่งเหยิง จนกระทั่งแต่งงานและมีลูก ซึ่งทุกอย่างก็แฮปปี้เอ็นดิ้ง น่าจะจบเรื่องไปได้ แต่ในภาคนี้ป้าก็กลับมาใหม่ พร้อมบทบาทที่ทำให้เรานึกทึ่งกับทีมเขียนบทไม่น้อย ที่ตัดสินใจเลือกให้ มาร์ก ดาร์ซี่ (โคลิน เฟิร์ธ) สามีสุดที่รักของบริดเจ็ทตาย และทิ้งเธอไว้กับสถานะแม่ม่ายที่ต้องเลี้ยงลูกทั้งสองตามลำพัง

แต่ถึงอย่างนั้นในภาคนี้ มาร์ก ก็ไม่ได้หายไปไหนไกล (แม้ว่าจะตายไปแล้ว) แต่ภาพและความทรงจำของเขาก็ยังวนเวียน โดยเฉพาะผ่านมาทางคาแรกเตอร์ของ บิลลี่ (แคสเปอร์ น็อปฟ์) ลูกชายคนโตของบริดเจ็ทที่แทบจะถอดแบบมาจากมาร์กทุกอย่าง จนแม้แต่ แดเนียล (ฮิวจ์ แกรนท์) อดีตคนรักของบริดเจ็ทที่ภาคนี้ก็กลับมาหยอดมุกแพรวพราวอีกครั้งก็ยังเรียกบิลลี่ว่า “มินิ ดาร์ซี่”

แน่นอนว่าเราจะไม่ได้เห็นป้าบริดเจ็ทฟูมฟายกับการจากไปของมาร์ก เพราะเรื่องมันเริ่มหลังการตายของเขาถึง 4 ปี แต่ที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ มวลความเศร้ามันยังซ่อนตัวอยู่ โดยที่เธอไม่รู้ และก็ไม่เคยคิดที่จะจัดการกับมัน นอกจากมีชีวิตอยู่ไปวันๆ

เราว่าจุดนี้หนังทำได้ดี ร่วมสมัยและคิดว่าค่อนข้าง realistic พฤติกรรมหลายๆ อย่างของบริดเจ็ท เช่น ฟุ้งซ่าน ปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย และหลายๆ คนก็น่าจะเคยเห็นอาการประมาณนี้ ไม่มากก็น้อยจากคนรอบตัว ซึ่งคนรอบๆ ตัวบริดเจ็ทก็มองเห็นสิ่งเดียวกันนี้ และพยายามจะนำเสนอทางออก และทางแก้ เพื่อให้บริดเจ็ทได้กลับมาร่าเริงและมีความสุขกับการใช้ชีวิตอีกครั้ง

...

โดยหนึ่งในทางแก้ ก็เป็นที่มาชื่อตอนของภาคนี้ Bridget Jones: Mad About the Boy ซึ่งคงไม่ต้องเดาว่าป้าบริดเจ็ทของเราทำได้ดีแค่ไหนกับเรื่องราวของหนุ่มๆ แถมทำให้เราหวนคิดถึงช่วงเวลาแซ่บๆ เผ็ชๆ ของป้าแกจากภาคก่อนหน้าอีกต่างหาก 

แต่ถ้ามันจบที่ได้เดตกับหนุ่มๆ แล้วชีวิตจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอย เรื่องก็คงจะเบาไปหน่อย และดูไม่สมเป็นป้าบริดเจ็ทผู้ที่มักทำอะไรเกินคาดเสมอ ซึ่งป้าแกก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และน่าจะเป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดของภาคนี้ คือป้าแกค้นพบความจริงในที่สุดว่าหนทางการคืนความสุขให้ตัวเองแบบยั่งยืน และมูฟออนต่ออย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่หัวใจกระชุ่มกระชวยเป็นระยะๆ นั้น คือโอบรับทุกอย่าง ทั้งความทุกข์จากการสูญเสีย ความคาดหวังจากคนรอบข้าง โดยไม่ลืมที่จะโอบกอดความรักจากคนรอบตัว

...

ซึ่งทั้งหมดคงต้องยกความดีให้ทีมสร้าง โดยเฉพาะทีมเขียนบท ที่ทำการบ้านได้ดีในภาคนี้ บวกกับความแข็งแรงของคาแรกเตอร์ บริดเจ็ท โจนส์ ที่ยังคงมีเสน่ห์ ทำให้เราอดตกหลุมรักนางได้อีกครั้ง แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ป้าก็ยังเรียกเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แถมภาคนี้ยังเรียกน้ำตาเราได้อีกต่างหาก

เอาเป็นว่า Bridget Jones: Mad About the Boy ดูสนุก และมีดีกว่าที่เราคิดมาก เพราะหนังไม่ได้ยึดติดกับบริบทเดิมๆ (ที่อาจทำให้หนังตกยุค) แต่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยได้อย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะคาแรกเตอร์ของ บริดเจ็ท โจนส์ ที่เซอร์ไพรส์เราได้อีกหน แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยความสูญเสีย แต่มู้ดกลับไม่ได้เศร้าจนห่อเหี่ยว แต่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

...

ใครเป็นแฟนป้าบริดเจ็ท และอยากไปรำลึกความหลังกับป้าแกก็อย่าพลาด รับรองว่าป้าแกยังแซ่บเหมือนเดิม!

จนกว่าจะพบกันใหม่