ฉากแข่งรถดีมากๆ

ส่วนเนื้อเรื่องก็ดูง่าย ตามสูตร


ไม่คิดมาก่อนว่าจะดูหนังเกี่ยวกับการแข่งรถได้ยาวนานเกือบ 3 ชั่วโมง แบบไม่หลับ! แต่ก็เป็นไปแล้ว F1: The Movie ทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะฉากในสนามแข่งรถ ทำเราหัวใจเต้นแรงทั้งเรื่อง ลุ้นสุดตัวว่าม้ามืดที่เคยเป็นตัวเต็ง F1 จากเมื่อหลายสิบปีก่อนจะกลับมากู้ชื่อเสียงของตัวเองได้หรือไม่

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ และทำรายได้อย่างถล่มทลายไปแล้วทั่วโลก สำหรับ F1: The Movie ทำเอาผู้สร้างอย่าง Apple Original Films หน้าบาน เพราะทำรายได้มากกว่าที่คาด และมากกว่าผลงานก่อนหน้านี้หลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Killers of the Flower Moon, Wolfs, และ Argylle ที่ทำเงินไม่เยอะเท่าที่ควร 

ต้องยอมรับว่าเราก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะแม้ว่าการแข่งรถ Formula 1 หรือ F1 จะเป็นการแข่งขันระดับโลกที่มีแฟนๆ รอชมมากมาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มผู้ชมที่ค่อนข้างจำกัด เพราะการจะเข้าถึงวงการรถแข่ง และเข้าใจเรื่องการแข่งรถไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่ง F1: The Movie ก็ทำให้เห็นภาพชัดว่าการจะเป็นแชมป์ในสนาม F1 หรือสนามแข่งรถไหนๆ ไม่ใช่แค่ “คนขับ” เท่านั้นที่สำคัญ แต่หมายถึง “ทีมงาน” ทั้งทีมที่จะต้องร่วมขับเคลื่อนไปด้วย

...

F1: The Movie เป็นเรื่องราวของ ซอนนี่ ฮาเยส (แบรด พิตต์) อดีตนักแข่ง F1 ที่หายตัวจากวงการเงียบๆ หลังประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเสียชีวิต หลังเหตุการณ์นั้น ชีวิตของซอนนี่พังไม่เป็นท่า ทั้งชื่อเสียงและความสำเร็จที่พังทลาย ชีวิตแต่งงานที่แตกสลาย แต่ที่น่าจะทำให้เขาเสียศูนย์ที่สุดคงเป็น “ตัวตน” ที่ล่มสลายไปพร้อมกับอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วย

อย่างที่ทราบกันว่า F1: The Movie อำนวยการสร้างโดยทีมเดียวจาก Top Gun: Maverick ทำให้ส่วนตัวเรารู้สึกว่ามีกลิ่นอายเดียวกันอยู่ แต่โดยภาพรวมเราชอบ F1: The Movie มากกว่า อาจเพราะเรื่องการแข่งรถเป็นเรื่องใหม่ (สำหรับเรา) หรือเราไม่ค่อยเห็นจากหนังอื่นๆ มากนัก ยิ่งลงดีเทลเรื่อง F1 ยิ่งหาได้น้อย ความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นเลยมีมาก และยิ่งหนังไม่ได้ทำให้เข้าใจยาก เลยคิดว่าดูสนุกมากกว่าที่คิด

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะดู cliche หรือซ้ำซากไปสักหน่อย แต่ตัวละคร ซอนนี่ ซึ่งรับบทโดย แบรด พิตต์ ก็ทำหน้าที่ได้ดี แน่ล่ะว่าเราอาจจะเบื่อหน้าเขา หรือคาดเดาได้จากบทบาทที่ผ่านมาว่าเขาจะเป็น “ตัวเอก” ทำนองไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการรับบท ซอนนี่ นักแข่งตกอับที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในวัยใกล้เกษียณ ทำให้แบรดดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ส่วนตัวถึงกับคิดว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาทำได้ดีทีเดียว

ถ้าวิเคราะห์ให้ลึกกว่านั้น เราคิดว่าตัวละคร ซอนนี่ มีเวลามากมายในเรื่อง (เพราะหนังค่อนข้างยาว เกือบๆ 3 ชั่วโมง) ค่อยๆ เผยตัวตนในมุมต่างๆ ทำให้คนดู(อย่างเรา) เข้าถึงเขาได้ไม่ยาก และปิดท้ายด้วยความเห็นอกเห็นใจ รวมทั้ง “เอาใจช่วย” ให้เขาสามารถเอาชนะใจตัวเองในสนามแข่ง และเรียกตัวตนกลับมาได้อีกครั้ง

นอกเหนือไปกว่านั้น ตัวละครแวดล้อมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น รูเบ็น (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) เพื่อนเก่าของซอนนี่ และหัวหน้าทีม F1 คนปัจจุบัน และ เจพี (แดมสัน ไอดริส) นักแข่งหน้าใหม่ที่ยิ่งผยองจนน่าหมั่นไส้ ก็ทำให้เรื่องดูมีมิติขึ้นอีกนิด ทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องเงิน และผลประโยชน์ที่ไม่เข้าใครออกใคร และเรื่องของคนต่างเจนเนอเรชั่นที่ทำได้เห็นภาพ ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ และบริบทของตัวละครในแต่ละช่วงได้ดีขึ้น

...

เราคิดว่าการมีอยู่ของตัวละครแวดล้อม ทั้งรูเบ็น และเจพี หรือแม้กระทั่ง เคท (เคอร์รี่ คอนดอน) หัวหน้าทีมออกแบบรถ F1 ที่เป็นกิ๊กกับซอนนี่ ทำให้เรื่องราวการเป็น “ตัวเอก” ของซอนนี่ ดูไม่น่าเบื่อนัก แม้ว่าจะคาดเดาได้ แต่ก็อยู่บนพื้นฐานที่เข้าใจได้ซะส่วนใหญ่ และรวมๆ คือการส่งสารหลักๆ อย่างที่เกริ่นว่าการเป็นแชมเปี้ยนในสนาม F1 มันไม่ใช่แค่ “คนขับ” แต่เป็นการขับเคลื่อนของทีมงานทั้งหมดด้วย

นอกจากเรื่องของตัวละครที่เป็นส่วนผสมที่ดี ฉากการแข่งรถซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์เกือบครึ่งของทั้งเรื่อง เราว่าทีมสร้างก็ทำได้ดี ตอนแรกที่กลัวว่าจะเวียนหัว เพราะทั้งความเร็วบนสนามแข่ง(ซึ่งกล้องก็น่าจะต้องซิ่งตาม) และการดูในโรงแบบ IMAX ที่ง่ายต่อการเวียนหัว แต่ก็ไม่มีอาการใดๆ ออกจะตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจด้วยซ้ำ ซึ่งคงต้องยกความดีให้ทีมตัดต่อ และทีมออกแบบงานสร้างต่างๆ ที่ทำให้ภาพออกมาสมจริงและชวนให้ลุ้นจนแทบนั่งไม่ติด

อย่างไรก็ดี แม้ว่าหนังโดยรวมจะดูสนุก แต่ความยาวของเรื่องก็น่าจะเป็นปัญหาอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะช่วงกลางๆ เรื่องที่เต็มไปด้วยเรื่องดราม่าของทั้งตัวซอนนี่เองที่ยังตกลงกับตัวเองไม่ได้ และเรื่องระหว่างซอนนี่กับเจพีที่ก็เหมือนคนขั้วเดียวกันที่คอยแต่จะผลักออกจากกันตลอด ซึ่งถ้าใครไม่ชอบดราม่าก็อาจจะคิดว่าจุดนี้ทำให้เรื่องยืดเยื้อไปสักหน่อย

...

เอาเป็นว่ารวมๆ หนังดูสนุก ถึงจะยาวแต่ก็ไม่ชวนหลับ เพราะก็มีประเด็นเลี้ยงกันไปได้จนจบ โดยเฉพาะฉากแข่งรถที่ทำได้ดีและสมจริงเรื่องหนึ่งตั้งแต่เคยดูมา แถมทำให้เราเข้าใจเรื่องวงการแข่งรถ F1 ได้ดีขึ้นด้วย ทั้งในแง่เทคนิคเฉพาะทางต่างๆ ของตัวรถ ศักยภาพของทีมและคนขับที่ต้องทำงานด้วยกันเพื่อชัยชนะบนสนาม รวมทั้งเรื่องธุรกิจที่เป็นเงินและผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งบางครั้งการได้มาซึ่งชื่อเสียงก็อาจต้องหักหลังใครหลายคน 

และถึง แบรด พิตต์ จะดูมีอายุขึ้นมาก แต่ฝีมือการแสดง รวมไปถึงรูปร่างหน้าตา พี่เขาก็ไม่ได้ถดถอยตามนะ ยังคงความเก๋า ทำให้หนังปังได้เหมือนเคย ถ้าใครเป็นแฟนก็เรียนเชิญที่โรงเพราะจะตื่นตาตื่นใจมาก แต่ถ้าไม่สะดวกก็รอไม่นาน สตรีมมิ่งน่าจะตามมาเร็วๆ นี้


จนกว่าจะพบกันใหม่