ทีมเกาหลีเขาทำถึงอีกแล้ว ถึงไม่เคยอ่านเวอร์ชั่นนิยายก็ดูรู้เรื่อง สนุกด้วย
ตัดสินใจไปดูเพราะหน้าตาแคสหลักล้วนๆ โดยเฉพาะตัวละครเอกอย่าง อันฮโยซอบ ผู้รับบท คิมดกจา นักอ่านหนึ่งเดียวที่เคยอ่านนิยายวันสิ้นโลก…ที่มาของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด และก็เพราะเขาอีกนั่นแหละที่ไม่ชอบตอนจบที่ผู้เขียนเคยแต่งไว้ เขาเลยถูกกำหนดให้ออกแบบตอนจบใหม่…
เราไม่เคยอ่านเวอร์ชั่นนิยาย (ออริจินัลดัดแปลงจากนิยายเรื่อง มุมมองนักอ่านพระเจ้า) แต่ก็ไม่ทำให้การดูงงงวยนัก ถือว่าทีมสร้าง (Along with the God 1-2) และทีมเขียนบททำการบ้านได้ดี แถมแคสทุกตัว (ที่เราไม่แน่ใจว่าตรงใจแฟนนิยายไหม) ก็ดีมากๆ… เรื่องนี้ถือว่ารวมดาวก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น อันฮโยซอบ (Dr.Romantic), อีมินโฮ (The King Eternal Monarch, Pachinko), แชซูบิน (Sweet & Sour), ชินซึนโฮ (D.P.), นานะ (Mask Girl), และ จีซู หนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังอย่าง BLACKPINK
...
เอาล่ะ… หน้าหนัง หรือองค์ประกอบภายนอก จัดว่าน่าดู (ตามประสาคอหนังเกาหลี) และเมื่อได้ดูแล้วเราก็ไม่คิดว่าผิดหวัง เพราะนอกจากจะตื่นตาตื่นใจกับสารพัดฉากเหนือจินตนาการที่ทีมสร้างร่วมกันรังสรรค์แล้ว เนื้อเรื่องก็ตื่นเต้นดี แม้จะให้กลิ่นอายเหมือน The Hunger Game เวอร์ชั่นเกาหลี แต่มันก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งสารสาระสอดแทรก ทำให้เรื่องดูสนุกสนานขึ้น
Omniscient Reader: The Prophecy หรือชื่อไทย อ่านชะตาวันสิ้นโลก เป็นเรื่องราวของ คิมดกจา (อันฮโยซอบ) ชายหนุ่มบ้านๆ ที่เป็นแฟนนิยายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก และเขาก็เป็นนักอ่านคนเดียวที่ได้อ่านนิยายจนจบ แต่ปัญหาก็คือเขาดันไม่ชอบตอนจบ และตัดสินใจเขียนไปตัดพ้อนักเขียน สิ่งที่เขาได้รับกลับมาไม่ใช่คำตอบรับคำติ หรือคำขอบคุณ แต่เป็น “สารท้า” ให้เขาออกแบบตอนจบใหม่ในแบบที่เขาต้องการเอง…
แต่ภารกิจเขียนตอนจบใหม่นี้ ดกจาไม่ได้ทำตามลำพัง แต่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยูซังอา (แชซูบิน) เพื่อนร่วมงานสาวที่เขาบังเอิญเจอบนรถไฟหลังเลิกงาน, อีฮยอนซอง (ชินซึนโฮ) หนึ่งในตัวละครจากในนิยายที่เขาเลือกเก็บไว้เพราะเห็นพลังที่ซ่อนอยู่, ยูจุงฮยอก (อีมินโฮ) ฮีโร่จากนิยาย… ตัวละครที่เขาชื่นชอบ และใฝ่ฝันให้เป็นแบบอย่างมาตลอด, จองฮีวอน (นานะ) ตัวละครโลว์โปรไฟล์จากในนิยายที่เขาดันเห็นศักยภาพและความมุ่งมั่น, อีจีฮเย (จีซู) มือปืนสาว ศิษย์เอกของยูจุงฮยอก, และ อีกิลยอง (ควอนอึนซอง) เด็กน้อยใสซื่อ ผู้รักแมลงเป็นชีวิตจิตใจ…
แน่ล่ะว่าการรวมตัวกันของเหล่าทีม backup ไม่ใช่เรื่องที่ดกจาแพลนไว้ตั้งแต่แรก เพราะแม้แต่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม และจะสามารถออกแบบตอนจบให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการได้หรือไม่ แต่นี่น่าจะเป็นเสน่ห์อย่างแรกของเรื่องนี้ คาแรกเตอร์ของ คิมดกจา ที่ถูกออกแบบให้เหมือนเป็น “คนขี้แพ้” แต่อันที่จริง เขามีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีน้ำใจมาก
...
คาแรกเตอร์เรียบง่ายที่เหมือนว่าใครๆ ก็เป็นได้นี่เองทำให้ออร่าความเป็น “ฮีโร่” ของเขาเปล่งประกายตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะในช่วงเวลายากที่สุด หรือช่วงเวลาของความเป็นความตาย คุณสมบัติง่ายๆ เหล่านี้จะถูกพิสูจน์ว่าเรามีมากน้อยแค่ไหน หากต้องแลกกับชีวิตของตัวเอง
นอกจากคาแรกเตอร์หลักอย่าง คิมดกจา ที่ชวนให้คนดูเอาใจช่วยแล้ว เหล่านักแสดงร่วม…ทีม back up ของเขาก็มีเคมีที่เข้ากันอย่างดี แน่ล่ะว่าเป็นความร่วมมือที่เริ่มจากภาวะจำยอม แต่ความดีของดกจา รวมทั้งพลังใจที่เข้มแข็งของแต่ละตัวละครก็ดึงดูดพวกเขาเข้าหากัน นำไปสู่การร่วมมือเพื่อจบภารกิจนี้ให้ได้
คาแรกเตอร์ว่าแข็งแรงแล้ว พลังพิเศษของแต่ละคนที่คัดสรรมาก็น่าทึ่งมาก โดยเฉพาะพลังดึงดูดแมลง ของ อีกิลยอง (ควอนอึนซอง) ตัวละครเด็กหนึ่งเดียวของเรื่อง ที่น่าเอ็นดูมาก ส่วนตัวคิดว่าเป็นตัวขโมยซีน (และขโมยหัวใจของคนดูหลายคน) ที่เราชอบมากกว่าตัวละครฮีโร่ในนิยายอย่าง ยูจุงฮยอก เสียอีก
...
แต่ก็ว่าไม่ได้ ตัวละคร ยูจุงฮยอก (อีมินโฮ) ถือว่าเป็นตัวละครลึกลับ และชวนให้สงสัยตั้งแต่ต้นว่าเขาเป็น “ฮีโร่” ประเภทไหนกันแน่? เช่นเดียวกับตัวละครอย่าง อีจีฮเย (จีซู) ที่แม้ว่าจะมีฝีมือ เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ และเหมือนจะรู้อะไรๆ มากกว่าตัวละครอื่น แต่ก็มีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ… แต่นั่นก็ทำให้เรื่องมีมิติขึ้น ทำให้เราต้องคิดหาคำตอบไปเรื่อยๆ ว่าสองตัวละครนี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่
จุดแข็งถัดมา คือ ด่านสุดล้ำเหนือจินตนาการที่ทีมของดกจาต้องผ่านไปให้ได้ ที่มันน่าสนใจ เพราะมันไม่ใช่แค่ด่านที่ต้องสู้เพื่อเอาชนะ แต่ก็ตามสไตล์นิยายเกาหลีที่สอดแทรกเรื่องความดำมืดของจิตใจมนุษย์ไว้ในตัวละครวายร้ายที่อยู่ประจำด่านเสมอ รวมถึงสะท้อนความเข้มแข็งของจิตใจมนุษย์ด้วยกันเองว่าจะต้านกิเลส หรือตัณหาส่วนตัวเพื่อเอาตัวรอดได้ดีแค่ไหน
...
เราว่าหนังดูสนุก แม้จะไม่เคยอ่านเวอร์ชั่นนิยายก็ตามเรื่องได้อย่างไม่สับสน งานโปรดักชั่นก็อลังการสมศักดิ์ศรี movie hub ขนาดใหญ่ของเอเชียอย่างเกาหลีที่ทำให้เรื่องดูสนุกขึ้นอีกขั้น ทีมนักแสดงก็เป็นตัวท็อปของวงการในขณะนี้ทั้งนั้น แถมด้วยสาระที่มากับเรื่องก็แข็งแรง แม้ว่าอาจจะไม่ใหม่มาก แต่ก็ยังใช้ได้ดีเสมอในหนังแนวนี้ (แค่สลับสับเปลี่ยนวิธีเล่าเท่านั้น)
ใครเป็นคอหนังเกาหลี หรือเป็น FC ของนักแสดงท่านไหนก็ตามไปให้กำลังใจในโรงกันได้ รับรองเลยว่าจะเป็นสองชั่วโมงกว่าๆ ที่ไม่น่าเบื่อ แถมยังตื่นตาตื่นใจอีกต่างหาก!
จนกว่าจะพบกันใหม่