หนังดราม่าระทึกขวัญที่ไม่ต้องพึ่งผีก็ทำเราขนหัวลุกได้

ก่อนไปดูเราก็เตรียมใจมาบ้าง คิดว่าน่าจะเป็นแนว disturbing ระดับหนึ่ง ก็ไม่ผิดคาดนะ หนังมีความ intense และน่าอึดอัดมาก จนไม่อยากเชื่อว่าสันดานดิบของมนุษย์จะบ้าคลั่งได้ถึงขนาดนั้น

Eden หรือชื่อไทย สวรรค์คนบาป สร้างจากเรื่องจริงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงเวลาที่โลกบอบช้ำจากการทำสงคราม และยุคที่เศรษฐกิจถดถอย รวมถึงระบอบเผด็จการที่แผ่ขยายไปในหลายส่วนของโลก ทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มตัดสินใจออกจากประเทศตัวเองเพื่อหนีความกดดันเหล่านั้น และกลุ่มคนใน Eden ก็เป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนั้น…


ดร.ฟรีดรีค ริตเตอร์ (จู๊ด ลอว์) และ ดอเร สเตราช์ (วาเนสซา เคอร์บี) เป็นคนคู่แรกที่ตัดสินใจเดินทางออกจากเยอรมนีไปใช้ชีวิตอย่างสงบในเกาะฟลอรีอานาแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส แต่ชีวิตอันเงียบสงบของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเรื่องราวของพวกเขาถูกตีพิมพ์ ก็มีคนอีกกลุ่มตามมาสมทบ

...

ไฮนซ์  วิตต์เมอร์ (ดาเนียล บรูห์ล) และ มาร์เกรต วิตต์เมอร์ (ซิดนีย์ สวีนีย์) สองสามีภรรยา พร้อม เฮนรี่ ลูกชายที่ป่วยเป็นวัณโรค และสุนัขอีกตัว เป็นคนอีกกลุ่มที่ขายสมบัติทั้งหมดเพื่ออพยพมาอยู่เกาะฟลอรีอานานี้ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องปากกัดตีนถีบในสภาวะหลังสงคราม ซึ่งทั้งสามก็ทำได้ดี ปรับตัวได้ แม้ต้องเจอการกลั่นแกล้งเป็นระยะๆ จากกลุ่มผู้บุกเบิกอย่าง ดร. ริตเตอร์ (จู๊ด ลอว์) และ ดอเร (วาเนสซา เคอร์บี)

และกลุ่มคนสุดท้าย (ของเรื่องนี้) ที่เดินทางมาที่เกาะฟลอรีอานา ก็นำโดย เอโลอิส แวร์บอร์น เดอ วากเนอร์ บอสเกต์ (อนา เดอ อาร์มาส) หรือที่หลายๆ คนเรียกเธอว่า บารอนเนส พร้อมด้วยหนุ่มทาสรัก ทาสแรงงานของเธอ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมาสร้างโรงแรมขนาดใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมความหรูหรา

การรวมตัวกันของคนสามกลุ่มทำให้บรรยากาศสงบเงียบบนเกาะร้างแห่งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าแต่ละกลุ่มจะมีเป้าหมาย (หรือข้ออ้าง) เป็นของตัวเอง แต่กลับไม่ได้โฟกัสกับเรื่องเหล่านั้นมากนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความยากลำบากในแต่ละวันที่ต้องเจอ ทั้งเรื่องอาหาร สาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงความปลอดภัยในแต่ละวัน เลยดูเหมือนว่าเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนจะเปลี่ยนไป…

เอาจริงๆ ไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้เท่าไหร่ ส่วนตัวไม่ชอบบรรยากาศดราม่า และความกดดันที่ทำให้อึดอัดและน่ารำคาญ ซึ่งแน่ล่ะว่า Eden ให้ความรู้สึกเหล่านี้ครบถ้วน แต่ก็น่าแปลกที่เราก็ยังอยากรู้และดูจนจบ เพราะอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วจุดจบแต่ละตัวละครจะเป็นยังไง และใครจะเป็นผู้รอดชีวิต?

เราว่าหนังมี 2 อย่างที่ทำได้ดีมากๆ  อย่างแรกคือตัวละคร… แต่ละตัวถูกแบ่งสัดส่วนกันอย่างดี ฉายแสง โชว์พลังกันได้อย่างไม่มีใครยอมใคร และที่สำคัญสะท้อนถึงสันดานดิบของมุนษย์ได้ถึงแก่น จนเราอดขนหัวลุกให้กับสันดานดิบเหล่านี้ไม่ได้ และแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะโหดร้ายต่อกันได้มากขนาดนั้น

...

ยิ่งไปกว่านั้น แคสของแต่ละตัวละครก็น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะ อนา เดอ อาร์มาส ที่รับบท บารอนเนส ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยากข่วนหน้าใครสักคนตลอดเวลา รวมไปถึง ซิดนีย์ สวีนีย์ ที่รับบท มาร์เกรต วิตต์เมอร์ ได้อย่างน่าทึ่ง มีหลายฉากทีเดียวที่ทำเอาเรานั่งไม่ติด ทั้งเพราะลุ้นว่าเธอจะรอดชีวิต และลุ้นว่าเธอจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์น่าอึดอัด(และน่ารังเกียจ)แบบนั้นได้อย่างไร

ฝ่ายชายก็ไม่น้อยหน้า โดดเด่นที่สุดคงต้องยกให้ จู๊ด ลอว์ ที่รับบท ดร.ฟรีดรีค ริตเตอร์ ปัญญาชนที่อพยพมาจากเยอรมนีเพราะหนีความกดดัน และมาตามหาความหมายของชีวิต ดร.ริตเตอร์ เป็นชายหนุ่มที่ซับซ้อน เราไม่อาจบอกได้แต่แรกว่าเขาเป็นคนแบบไหน กระทั่งเรื่องวุ่นวายหลายอย่างถาโถมเข้ามาท้าพิสูจน์ความเข้มแข็งในจิตใจจนเขากลายเป็นคนที่เราก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะ “บ้าบอ” และ “บ้าคลั่ง” ได้ถึงขนาดนั้น

...

อย่างต่อมาที่ Eden ทำได้ดี ก็คือบท มีหลายฉากที่บทพูดเข้มข้น และ intense จนเราแทบนั่งไม่ติด ทั้งเพราะตื่นตะลึงกับความอำมหิตของจิตใจมนุษย์ และเพราะความอดสูกับความละโมบของมนุษย์บางคน ซึ่งแต่ละตัวละครก็รับส่งบทกันได้อย่างดี การกระทำของแต่ละคนต่างก็สะท้อนให้เห็นถึงแรงผลัก ความต้องการ และความกลัวที่เห็นได้ชัด กลายเป็นพฤติกรรมดำมืดที่บางสถานการณ์เราก็คาดไม่ถึง

ใดๆ คือหนังเหมือนเวทีทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจคนว่าจะมีมากได้แค่ไหนในสภาวการณ์ที่ยากลำบาก จะเป็นคนที่แก่อุดมการณ์ที่สุด สุขภาพดีที่สุด รวยที่สุด แข็งแรงที่สุด หรือคนที่หลอกลวงเก่งที่สุด ใครกันแน่จะเป็นผู้รอดชีวิตในเกาะร้างอันเงียบสงบ แต่ไร้ซึ่งความเมตตาปรานีแห่งนี้?

...

โดยรวมเราว่า Eden เป็นหนังดราม่าระทึกขวัญที่ดุเดือดมาก ทั้งเหล่านักแสดงที่ทั้งแคสและเคมีตรงอย่างน่าเหลือเชื่อ และบทพูดที่หนักหน่วงชวนจุกในหลายๆ ฉาก แต่ที่สำคัญกว่าคือหนังกระชากความจริงให้เราเห็นสันดานดิบของมนุษย์ รวมถึงความซับซ้อนในจิตใจที่ยากแท้หยั่งถึง มีแต่คนที่จิตใจเข้มแข็งที่สุดเท่านั้นจะผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายแบบนี้ไปได้ โดยไม่ตกหลุมสิ่งเร้าที่แม้แต่บนเกาะร้างในดินแดนห่างไกลก็ยังอุตส่าห์จะมี!

เอาเป็นว่าหนังดูสนุกทีเดียว แม้จะน่าอึดอัดและอยากหยุมหัวตัวละครในเรื่องตลอดเวลา แต่ก็น่าตื่นเต้น ระทึกขวัญ และทำให้แอบยิ้มมุมปากเบาๆ ด้วยความสะใจ ไปด้วย ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากหนังแอคชั่น หนังผี หนังตลก หรือแอนิเมชั่น ก็ลองมาทางนี้ดู รับรองว่าระทึกขวัญ ไม่เหมือนใคร แถมสร้างมาจากเรื่องจริงด้วย!

จนกว่าจะพบกันใหม่