มันเรียบง่าย แต่อ่อนโยน และลึกซึ้งมาก
เป็นหนังที่เราคิดว่าโลว์โปรไฟล์มาก เพราะหน้าหนังเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยสารที่ลึกซึ้ง และชวนให้เรายิ้มที่มุมปาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่าโลกนี้อยู่ไม่ง่าย และไม่ใช่เราคนเดียวที่มีเรื่องพังๆ
หนังถูกแบ่งเล่าออกเป็น 5 ตอน โดยไม่เรียงเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ดูยาก ส่วนตัวคิดว่าเป็นความตั้งใจของผู้เขียนด้วยซ้ำที่อยากเล่าเรื่องแบบไล่ระดับอารมณ์ของเรื่องที่ intense ขึ้นเรื่อยๆ
Sorry, Baby เป็นเรื่องราวของ แอกเนส (เอวา วิคเตอร์) ครูสอนวิชาวรรณคดีอังกฤษในมหาวิทยาลัยเล็กๆ ชานเมือง New England ที่ต้องรับมือเรื่องราวเลวร้ายบางอย่างในชีวิตจนเกือบทำให้เธอเป๋ แต่ก็ดึงกลับมาได้ด้วยวิธีรับมือที่เราอาจคาดไม่ถึง
เราคิดว่าเสน่ห์ของหนัง คือ การดูเหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรมาก ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่กลับแฝงเรื่องที่ทำให้เราฉุกใจคิดได้ในทุกๆ ตอน โดยเฉพาะวิธีมองโลกในวันที่เกิดเรื่องแย่ๆ แค่เปลี่ยนมุมมอง โลกก็เปลี่ยน!
มีหลายฉากที่เราชอบมาก แต่ที่ประทับใจและซึ้งจนบอกไม่ถูก คงเป็นฉากที่แอกเนส และลิดี้ (นาโอมิ แอคกี้) เพื่อนรักนั่งกอดกันในห้องน้ำ แน่นอนว่าไม่ได้ซึ้งเพราะบทสนทนาที่เปิดเปลือยถึงเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ในฉากนั้นต่างหากว่าเราต้องใช้ความกล้าหาญ และความไว้ใจกันถึงขั้นไหนถึงจะเปิดปากเล่าเรื่องที่เปราะบางแบบนั้นได้
...
อีกฉาก คือ ตอนแอกเนสไปสมัครเป็นหนึ่งในคณะลูกขุน แล้วต้องตอบคำถามเรื่องคดีความที่เธอเคยประสบเพื่อพิสูจน์ว่าเธอเชื่อมั่นในกระบวนการกฎหมาย แต่เธอกลับได้ค้นพบบางอย่างที่กฎหมายก็ยังทำไม่ได้แทน ซึ่งมันทำให้จิตใจเธอสงบกว่าเคย
เราคิดว่าสิ่งที่หนังอยากบอก คือ สิ่งที่เราต้องมี ต้องเป็น และต้องทำในวันที่โลกไม่ใจดี หรือมีคนทำไม่ดีกับเรา ส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่เราต้องมีคือสติ และความรักในตัวเอง ต้องเป็นคนที่ยอมรับความจริง และเตรียมตัวเพื่อรับสถานการณ์เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายคือต้องทำในสิ่งที่สมควรและซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองที่สุด
เราค้นพบว่าสิ่งที่เด่นชัดหลังเกิดเรื่องไม่ดีกับตัวละครหลักอย่าง แอกเนส คือ เจ้าตัวไม่มีอารมณ์โกรธแค้นใดๆ ไม่ว่ากับใคร แม้แต่คนที่ทำไม่ดีกับเธอ แต่เธอกลับเลือกรับมือทุกความรู้สึกอย่างเงียบงัน เธอไม่ได้ยอมรับทุกอย่าง แต่เลือกจะเรียนรู้จากมัน และมองมันเป็นบทเรียนหนึ่งในชีวิตที่ทำให้เธอเติบโตขึ้น
เราว่า Sorry, Baby เป็นหนังดราม่า ที่มีกลิ่นอายของ Coming of Age เพราะแม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้เล่าเรื่องตามลำดับเวลาเหมือนหนัง Coming of Age ทั่วไป แต่การที่ตัวละครเรียนรู้จะรับมือกับบาดแผลและความเจ็บปวดจนค้นพบความสุข และความสงบในตัวเอง ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต
เราคิดว่าบทเป็นสิ่งที่แข็งแรงและมีค่าที่สุดของเรื่องนี้ เกือบทั้งเรื่องเป็นบทสนทนาที่เรียบง่าย ไม่ดราม่า ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ แต่ก็กินใจอย่างบอกไม่ถูก เราได้เห็นทัศนคติ และมุมมองต่อเรื่องต่างๆ ของตัวละครจากบทสนทนาที่ปราศจากจริตจกร้านเหล่านี้ ซึ่งส่วนตัวแล้วทำให้เราถูกดึงดูดเข้าหาหนังมากขึ้นเรื่อยๆ และถึงจุดพีคของเรื่องที่ทำให้เราอิ่มเอมใจมาก
...
เอาเป็นว่าชอบมาก แบบเหนือความคาดหมาย ตอนแรกคิดว่าจะเป็นดราม่าชวนคิดบวกธรรมดาแบบสมัยนิยม แต่เห็นชื่อค่าย A24 ก็คิดว่าน่าจะมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ แล้วก็มีจริงๆ
ใครที่ชอบเป็นคอหหนังแนวนี้ อย่าพลาดนะ รับรองว่าดีงาม ส่วนใครที่อยากหาสิ่งช่วยชุบชูใจจากสถานการณ์น่าเบื่อช่วงนี้ Sorry, Baby น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี
จนกว่าจะพบกันใหม่