เปิดมาตอนแรกก็เดือดแล้ว
ไม่ต้องคิดถึงอีก 9 ตอนที่เหลือ
เป็นซีรีส์ที่ออกฉายได้เข้ากับสถานการณ์…สถานการณ์ความขัดแย้งของชายแดน ไทย-เขมร ที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า…ความรุนแรงช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่?
เปิดมาตอนแรก (Episode 1) ก็เดือดแล้ว ส่วนตัวรู้สึกเหมือนเป็นการกระชากสติของเราให้ตระหนักถึงความรุนแรงรอบตัวที่เกิดขึ้น แม้แต่เรื่องเล็กน้อย คนยุคนี้ก็ “ถือสา” และทำตัวเป็น “ศาลเตี้ย” ตัดสินทุกอย่างด้วยบรรทัดฐานของตัวเอง พ่วงด้วยความสะใจที่ถูกฉาบหน้าว่าเป็นเรื่องของความยุติธรรม
บรรยากาศตลอด 10 ตอน เต็มไปด้วยความรุนแรง และฉากที่บีบเค้นหัวใจ แต่ก็น่าสนใจมากที่เรากลับไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาที่จะถ่ายทอดความรุนแรงของผู้สร้างและทีมเขียนบท แต่รับรู้ได้มากกว่าถึงความพยายามจะต่อต้าน และยับยั้งการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาทุกประเภท…
ส่วนตัวประทับใจหลายฉาก โดยเฉพาะฉากดราม่าจัดๆ ที่ว่าด้วยเรื่องการใช้อาวุธปืนสำเร็จโทษใครก็ตามที่ทำร้ายจิตใจ และ “อีโด” (คิมนัมกิล) ตัวเอกของเรา ที่ครั้งนี้เขาไม่ใช่แค่แคสในซีรีส์หรือหนังแนวทริลเลอร์แบบที่แฟนๆ ของเขาคุ้นเคย แต่โชว์เหนือด้วยความพยายามอย่างสุดตัวเพื่อให้ทุกคนตระหนักอย่างแท้จริงว่าการใช้ปืน หรือความรุนแรงทุกประเภท ไม่ได้ช่วยจบปัญหา แต่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิมมากกว่า
...
Trigger หรือชื่อไทย คนดุปืนเดือด เป็นซีรีส์ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการมี “ปืนในมือ” ว่าจะช่วยหยุดเรื่องเลวร้าย ขจัดความกลัว หรือช่วยล้างแค้นได้จริงๆ หรือไม่? ผ่านเส้นเรื่องที่มีตัวละครหลักอย่าง อีโด อดีตนายทหารพลซุ่มยิงในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูงที่ผันตัวมาเป็นตำรวจสายตรวจ เขาปฏิญาณตัวว่าจะไม่ใช้ปืนอีก แต่เขาก็ต้องแหกกฎตัวเองจับปืนอีกครั้งหลังเกิดเหตุกราดยิงในหลายพื้นที่ใจกลางกรุงโซล
ผลการสืบสวนหาสาเหตุการกราดยิงในหลายพื้นที่ทำให้ได้เงื่อนงำหลายอย่าง แต่ปริศนาที่อีโดและทีมสืบสวนแก้ไม่ตก คือ ปืนหลายชนิด รวมทั้งกระสุนจำนวนมากมายลักลอบเข้าเกาหลีใต้…ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่า Gun-free หรือปลอดจากปืน ได้อย่างไร และใครเป็นต้นตอเรื่องทั้งหมด
อีโดตามสืบจากเหล่าคนร้ายก่อเหตุ และข้อมูลแวดล้อมมากมาย จนกระทั่งได้เจอกับ มุนแบค (คิมยังกวัง) ชายหนุ่มปริศนาที่โผล่มาในสถานการณ์คับขันเสมอ เขาเสนอตัวช่วยอีโดตามหาคนส่งปืนและกระสุน พร้อมๆ กับพยายามผูกมิตรกับอีโด มุนแบคเป็นใคร และเขาเป็นมิตรหรือศัตรู คุณผู้อ่านต้องตามไปลุ้นกันได้ใน Netflix พร้อมๆ กันวันนี้ รับรองว่า 10 ตอนรวดแบบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน!
เราว่าจุดเด่นแรกของซีรีส์คือความเป็นทริลเลอร์ที่ซับซ้อน แม้จะมีธีมเดียว คือต่อต้านความรุนแรงด้วยการใช้ปืน หรือการใช้ความรุนแรงแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่ปมปริศนาในเรื่องก็มีเยอะมาก คนดูต้องตามหาทั้งที่มาของปืนและกระสุนเถื่อน จอมบงการตัวจริง เหยื่อที่แท้จริงของเหตุกราดยิงทุกครั้ง และปมในใจของ อีโด ที่น่าจะเป็นไฮไลท์สำคัญของเรื่อง
ส่วนตัวคิดว่านี่น่าจะเป็นเสน่ห์ หรือจะเรียกว่า “จุดแข็ง” ของซีรีส์เกาหลีก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่ความบันเทิงจากความสะใจ หรือความรุนแรง ตามประสาแอคชั่นทริลเลอร์ แต่สารที่แฝงมาด้วยก็เข้มข้นมาก ที่สำคัญเป็นสารที่สากล ทุกชาติตระหนัก แต่จะทำให้เห็นภาพ และในมุมมองที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องง่าย
...
อีกจุดแข็งคือเรื่องของทีมนักแสดง แน่นอนว่า คิมนัมกิล และ คิมยังกวัง นั้นได้คะแนนนำโด่ง เคมีของทั้งคู่กลายเป็นไวรัลในเวลาไม่นานหลังซีรีส์ออกฉาย หลายคนตามหาว่าทั้งสองเคยมีผลงานเรื่องไหนมาบ้าง โดยเฉพาะ คิมยังกวัง ที่ฉีกบทบาทครั้งสำคัญ จากพระเอกไอดอล มารับบททรงอย่างแบดที่กร้าวใจ ถูกใจแฟนซีรีส์ และชาวเน็ตเป็นที่สุด
ไม่ใช่แค่สองนักแสดงนำ Trigger ยังขนดาราเกาหลีอีกหลายคนมารับบทสำคัญๆ โดยเฉพาะบท “เหยื่อ” ของเหตุการณ์กราดยิงแต่ละรอบ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เราใจสลายด้วยความสงสารกับความเจ็บปวดที่ถูกกดทับของพวกเขา ยังทำให้เราตระหนักได้อย่างจริงจังว่าแท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดที่ว่าไม่สามารถเยียวยาด้วยการทำร้ายคนอื่น แต่ต้อง “หยุดใจ” เพื่อไม่ให้เรากลายเป็นคนแบบนั้นไปด้วยมากกว่า
แต่ที่เราประทับใจที่สุด คือ Dialogue (บทพูด) ในหลายฉากที่ทรงพลังมาก โดยเฉพาะบทพูดระหว่าง “อีโด” และสารวัตรหนุ่มใหญ่ (คิมวอนเฮ) ผู้มีพระคุณของเขา ว่าด้วยเรื่องของการ “ข่มใจ” และการ “ระงับความโกรธ” ไม่ใช้ความรุนแรงในการล้างแค้น และก้าวต่อไปเพื่อมีชีวิตต่อ
...
ไม่เพียงเท่านั้น บทพูดในหลายๆ ฉากยังถูกเพิ่มน้ำหนักในสิ่งที่ซีรีส์ต้องการสื่อสาร ด้วยการออกแบบสถานการณ์วัดใจหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้แค่ทำให้เหล่าตัวละครสำนึกหรือคิดได้ แต่ยังกระตุกความคิดคนดูอย่างเราๆ ด้วยว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหนที่จะเอาชนะใจตัวเองในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เอาเป็นว่าหนังไม่ได้มีดีแค่ความรุนแรงที่สะใจ และน่าจะถูกจริตคนดูหนัง ดูซีรีส์ในยุคนี้ แต่หนังยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความเสื่อมโทรมในแง่ของการยับยั้งชั่งใจ และความสำนึกผิดชอบชั่วดี
...
แน่ล่ะสังคมมันเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้ายที่เราอาจควบคุมไม่ได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเราสามารถควบคุมจิตใจ และจิตสำนึกของตัวเองได้ว่าจะร่วมดำดิ่งไปกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นแบบถึงไหนถึงกัน หรือจะข่มใจให้อยู่กับร่องกับรอย ทำสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่สมควรทำในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดมากกว่า
รวมๆ คือซีรีส์ดุมาก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน เนื้อเรื่องเข้มข้น และอาจมีโอเว่อร์ไปบ้าง แต่ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนน เพราะคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นภาพชัด โดยเฉพาะพลังอำนาจของความโกรธที่มักทำให้เราขาดสติ และมักมองไม่เห็นตัวเอง ที่สำคัญหนังชวนคิดเรื่องการใช้ความรุนแรงได้อย่างน่าสนใจ เพราะใครๆ ก็พูดได้ว่าต้องข่มใจ ชำระแค้นด้วยการไม่ล้างแค้น แต่ถ้าเราได้เจอกับตัวล่ะ…เราจะทำได้ดีแค่ไหน?
จนกว่าจะพบกันใหม่