• Future Perfect
  • Articles
  • 7 พันธมิตร เปิดตัว PRO-Thailand Network มุ่งขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน

7 พันธมิตร เปิดตัว PRO-Thailand Network มุ่งขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน

Sustainability

ความยั่งยืน29 มิ.ย. 2566 12:56 น.

ครั้งแรกกับการรวมพลัง 7 พันธมิตร เปิดตัวเครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน หรือ PRO-Thailand Network ขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ EPR 

วันที่ 28 มิถุนายน 2566 มีรายงานว่า ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ 7 บริษัทพันธมิตรชั้นนำในประเทศไทย นายวิกเตอร์ หว่อง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด และรองประธานฝ่ายธุรกิจแฟรนไชส์ ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว เดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี, นายอชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด, นางสาวรัตนศิริ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด, นายอินเยส คอร์ทเฮ้าส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, นางสาวนาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม อินโดไชน่า บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด, นายจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว ผู้อำนวยการด้านองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจประจำประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และเมียนมา บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด, นางเชอริล ยง ผู้บริหารฝ่ายการตลาดกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกใต้ บริษัท เอสไอจี คอมบิบล็อค จำกัด ร่วมกันประกาศเปิดตัว “เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ “PRO-Thailand Network” อย่างเป็นทางการ 

ทั้งนี้ สมาชิกของ PRO-Thailand Network ต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและมีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนในระดับโลก รวมถึงตระหนักร่วมกันถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของภาคประชาชน ซึ่งไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี และกลายเป็นขยะในประเทศไทย ดังนั้น จึงตัดสินใจมารวมตัวกันโดยสมัครใจตั้งแต่ปี 2562 เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการขยายความรับผิดชอบไปยังผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility) หรือ EPR เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน มุ่งเน้นการจัดการตลอดช่วงชีวิตของบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทางคือการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงปลายทางคือการเก็บกลับ การรีไซเคิล หรือการแปรสภาพบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ส่งเสริมให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) ในประเทศไทย

ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานมูลนิธิ 3R กล่าวว่า เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน หรือ PRO-Thailand Network เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ 7 บริษัทชั้นนำของประเทศไทยสมัครใจร่วมมือกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และมีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนในระดับโลก รวมถึงตระหนักร่วมกันถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วของภาคประชาชน ซึ่งไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนในประเทศไทย ภายใต้หลัก EPR คือหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบตลอดวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ อันเป็นแนวคิดในการขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการที่ครบวงจรจริงๆ นับตั้งแต่การออกแบบ และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเก็บกลับ การรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วจากภาคประชาชน ตลอดจนการกำจัดซากบรรจุภัณฑ์อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด และผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจาก 3 ประเภทบรรจุภัณฑ์ คือ ขวดพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) กล่องเครื่องดื่ม UBC (อาทิ กล่องนม น้ำผลไม้ กล่องน้ำกะทิ) และถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน MLP (อาทิ ซองขนม กาแฟ) 

ปัจจุบัน PRO-Thailand Network ร่วมกับมูลนิธิ 3R ซึ่งเป็นองค์กรที่มีพันธกิจหลักสื่อกลางในการประสานความร่วมมือและผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Reduce Reuse Recycle โดย PRO-Thailand Network ดำเนินโครงการนำร่องเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล หรือแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าให้กับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว แน่นอนว่าเราคงไม่ขับเคลื่อนนโยบาย EPR ในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จได้ โดยปราศจากการสนับสนุนที่สำคัญจากภาครัฐและภาคส่วน นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราทุกภาคส่วนขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน 

ด้าน นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริมว่า ทุกวันนี้กรมควบคุมมลพิษต้องการขับเคลื่อนให้การจัดการขยะของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดการเกิดขยะที่แหล่งกำเนิด การเพิ่มศักยภาพในการจัดการขยะ เพื่อหมุนเวียนทรัพยากรตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการส่งเสริมการบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน การทำงานของ PRO-Thailand Network จึงเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่จะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดการเกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วตั้งแต่ต้นทาง โดยเน้นการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์กลับไปรีไซเคิลหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้ก็มีให้เห็นในหลายประเทศทั่วโลก และในส่วนของกรมควบคุมมลพิษเห็นว่าการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนไม่สามารถลงมือทำให้ประสบความสำเร็จได้ โดยปราศจากแรงสนับสนุนด้านกฎหมายจากภาครัฐ 

ดังนั้น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการจัดทำกฎหมายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนของประเทศไทย ภายใต้หลักการ EPR ซึ่งจะกำหนดให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยอย่างแท้จริง และ PRO-Thailand Network ก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ร่วมกันมาโดยตลอด”

นายวิกเตอร์ หว่อง กล่าวว่า สำหรับ PRO-Thailand Network เป็นการรวมตัวกันด้วยความสมัครใจตั้งแต่ปี 2562 โดยบริษัทที่ร่วมสมาชิกจะมีตั้งแต่เจ้าของแบรนด์ เจ้าของตราสินค้า รวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งทุกคนรู้ว่าบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วที่ไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้องจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งเราต้องการลดผลกระทบตรงนี้ รวมทั้งส่งเสริมเรื่องการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว นำกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

นายจิระวัฒน์ เปิดเผย ผู้ที่มีส่วนได้เสียกับห่วงโซ่บรรจุภัณฑ์ ซึ่งเรามองกระบวนการนี้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิตบรรจุภัณฑ์ การใช้ การเก็บกลับ คัดแยก การรีไซเคิล การแปรรูปไปจนถึงการใช้ประโยชน์ ซึ่งเรามองครอบคลุมไปถึงนโยบายของกฎหมายในการสนับสนุนห่วงโซ่ของบรรจุภัณฑ์ขับเคลื่อนไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีส่วนได้เสีย 3 ส่วนด้วยกัน 1. ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์และผู้แปรรูปวัสดุบรรจุภัณฑ์ 2. ผู้ผลิตสินค้าและผู้นำเข้าสินค้าที่มีการใช้บรรจุภัณฑ์ 3. ผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์

นางสาวรัตนศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่มีส่วนได้เสียต่อไปก็คือผู้บริโภค ก็มีหน้าที่ในการคัดแยกผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสมให้สะอาด เพื่อส่งต่อไปยังขั้นตอนที่จะนำไปรีไซเคิลต่อๆ ไป ซึ่งคนต่อไปก็คือผู้เก็บรวบรวมและผู้ประกอบการรีไซเคิล

นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้เสียอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมากที่จะเชื่อมโยงส่วนต่างๆ นั่นก็คือหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานเทศบาล ที่มีหน้าที่อำนวยความสะดวก ทำให้เกิดการจัดเก็บที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาพใหญ่ก็คือ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐอื่นๆ ซึ่งมีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย EPR

อย่างไรก็ตาม สามารถติดต่อผ่าน Facebook: PRO-Thailand Network https://web.facebook.com/prothailandnetwork

SHARE

Follow us

  • |