ปั้นงานวิจัย...สู่ความยั่งยืน

Sustainability

ความยั่งยืน30 ส.ค. 2568 05:00 น.

จากอากาศสะอาด ถึงรายได้ที่มั่นคง งานวิจัยไทยกำลังทำให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง การได้หายใจด้วยอากาศที่สะอาดถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ แต่ในความจริงทุกวันนี้คนไทยยังต้องเผชิญปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กลายเป็นวิกฤติซ้ำซาก ทั้งกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตโดยรวม

นี่คือโจทย์สำคัญที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หยิบขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ และกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า “งานวิจัยไทย” ไม่ใช่แค่บทความวิชาการ แต่สามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนไทยหายใจอากาศสะอาดได้เต็มปอด

คอลัมน์ Sustainable Together มีโอกาส ได้ฟังแนวคิด ของ ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ถึงวิธีคิดใหม่ ระบุว่า การลงพื้นที่เชิงรุก ไม่รอให้โครงการวิจัยเดินเข้ามาหา แต่ไปสำรวจความต้องการของพื้นที่จริงๆ ตัวอย่างชัดเจนคือ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเผชิญวิกฤติไฟป่าและฝุ่นพิษมานาน

งานวิจัยถูกนำมาบูรณาการทั้งระบบ ตั้งแต่การพัฒนาเครื่องมือวัดฝุ่นความแม่นยำสูง ซอฟต์แวร์ตรวจจับ Hotspot ไปจนถึงการใช้ข้อมูลจากดาวเทียม GEO เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวัง รวมถึงการวางระบบจัดการดับไฟป่าอย่างเป็นแผน 5 ปีครบวงจร

ผลลัพธ์ที่ได้คือ แผนยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ด้านการบริหารจัดการการเผา ซึ่งถูกนำไปใช้จริงในพื้นที่ และถูกออกแบบให้สามารถต่อยอดไปยังจังหวัดอื่นได้ โดยตั้งเป้าให้คนไทยทุกคนได้สิทธิในการหายใจด้วยอากาศสะอาดภายในสิ้นปีนี้

ศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ รองผู้อำนวยการ สกสว. เล่าเสริมว่า สกสว.ไม่ได้มองปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว งานวิจัยยังถูกใช้เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โดยเงิน 1 บาทที่ลงทุนในงานวิจัยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 3.9-4 บาท และทำให้กว่า 150,000 ครัวเรือนพ้นจากความยากจน

นั่นหมายความว่า “วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม” ไม่ได้เป็นแค่ต้นทุน แต่เป็นการลงทุนที่สร้างผลลัพธ์กลับคืนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

ทั้งนี้ กรณีศึกษาให้เห็น คือ มิเตอร์ไฟฟ้าดิจิทัลที่ผลิตในประเทศ ซึ่งถูกผลักดันจนได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. กลายเป็นสินค้าที่ช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ หรือในด้านเซรามิกไทย ที่มีคุณภาพสูงแต่ยังขาด “เรื่องเล่า” และการสร้างมูลค่า หากเติม Storytelling เข้าไปเหมือนที่ญี่ปุ่นทำกับ “ถ้วยชาเขียว” ราคาหลักพันก็สามารถเพิ่มรายได้ให้ชุมชนได้ เช่นเดียวกับสมุนไพรไทยที่มีการวิจัยมากมายแต่กระจัดกระจาย หากบูรณาการและพัฒนาให้เป็น Product Champion ของประเทศไม่ว่าจะเป็นยาดม ยาหม่อง ก็สร้างอุตสาหกรรมสมุนไพรที่ยั่งยืนและแข่งขันได้จริง

ศ.ดร.วิษณุ เล่าว่า การจัดกิจกรรม “RU CONNEXT : สานพลัง วิจัยไทย ใช้งานจริง” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคเหนือ โดยมีมหาวิทยาลัยกว่า 30 แห่งเข้าร่วม นำผลงานเด่นๆลงสู่ชุมชนจริง เช่น โรงงานต้นแบบสารสกัดสมุนไพร ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพร ระบบตรวจวัด PM แบบเรียลไทม์ และนวัตกรรมจัดการน้ำเสีย นี่คือตัวอย่างที่งานวิจัยไม่ได้หยุดอยู่บนหิ้ง แต่มาถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง

ทิศทางต่อไปของ สกสว. คือแนวคิด “SRI for ALL” การวิจัยและนวัตกรรมที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์กับทุกคนอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และสร้างการพัฒนาบนฐานองค์ความรู้ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่เชื่อมโยงกับปัญหาจริงของประชาชนตั้งแต่สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจ

“ผมขอย้ำว่า งานวิจัยไทยต้องไม่ซ้ำซ้อน ไม่แยกส่วน แต่ต้องบูรณาการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในระดับครัวเรือน ชุมชน และประเทศ เริ่มตั้งแต่อากาศสะอาดที่หายใจได้เต็มปอด ไปจนถึงการมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น งานวิจัยไทยกำลังเปลี่ยนจากเครื่องมือทางวิชาการไปสู่พลังที่ทำให้ความยั่งยืนเป็นเรื่องใกล้ตัว”.

SHARE

Follow us

  • |