พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามรูปลักษณะขององค์พระ โดยกลุ่มแรกคือพระสมเด็จฯที่มีพุทธลักษณะเป็นเหมือนกับในช่วงบำเพ็ญเพียรทรมานพระองค์ก่อนที่จะทรงตรัสรู้อริยสัจสี่ หรือที่เรียกว่าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา พระสมเด็จฯในลักษณะนี้จะมีพระวรกายผ่ายผอมจนเห็นพระผาสุกะซี่โครง มักจะเป็นลักษณะของพระสมเด็จฯกรอบสี่เหลี่ยมแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่าพระสมเด็จวัดเกศไชโย
พระสมเด็จฯกลุ่มที่สองคือพระสมเด็จฯแบบที่มีพระวรกายสมบูรณ์ ครองจีวร มีนัยยะหมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้แล้ว พระสมเด็จฯในกลุ่มนี้มักจะเป็นพระสมเด็จฯกรอบสี่เหลี่ยมแบบฐาน 3 ชั้น (ฐาน 3 ชั้น หมายถึง ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปในปัจจุบันว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
พระสมเด็จฯในกลุ่มแรกที่เป็นแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น นั้น ตำราของตรียัมปวาย ที่บันทึกคำบอกเล่าของบุคคลต่างๆที่ได้เคยสัมภาษณ์พระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) ศิษย์ใกล้ชิดท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต บอกไว้ว่าเป็นพระสมเด็จฯที่สร้างขึ้นในช่วงแรกของการสร้างพระสมเด็จฯแบบกรอบสี่เหลี่ยม สร้างขึ้นในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2409 โดยอาจถือว่าเป็นการสร้างใหญ่เป็นครั้งแรกตามจำนวนพระธรรมขันธ์ 84,000 องค์ โดยเป็นพระสมเด็จฯแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น เป็นส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปบรรจุและแจกจ่ายตามสถานที่ต่างๆที่ท่านเจ้าประคุณฯได้เคยไปสร้างปูชนียสถานสำคัญเอาไว้ สำหรับการสร้างใหญ่ครั้งที่สองนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ไหน ข้อมูลจากตำราตรียัมปวายทำให้อนุมานได้ว่าน่าจะอยู่ในช่วงที่ท่านเจ้าประคุณฯ ใกล้จะละสังขารแล้ว (ท่านเจ้าประคุณฯละสังขาร ในปี พ.ศ. 2415) การสร้างใหญ่ครั้งที่สองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปบรรจุที่วัดเกศไชโยเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาของท่าน ตำราของพระมหาเฮง อิฐฐาจาโร (พระครูกัลยาณานุกูล) บอกว่าในครั้งที่สองนี้ท่านเจ้าประคุณฯท่านตั้งใจสร้างพระสมเด็จฯแบบฐาน 7 ชั้น (แบบที่มีการแกะพิมพ์ใหม่ เป็นแบบหูบายศรี) แต่สร้างได้ไม่ทันครบ 84,000 องค์ โดยสร้างได้จำนวนเท่าไหร่นั้นไม่ทราบแน่ชัด และท่านเจ้าประคุณฯท่านรู้ตัวว่าใกล้จะละสังขารแล้ว จึงให้นำเอาพระสมเด็จฯจากการสร้างใหญ่ในครั้งแรกมาร่วมพิธีด้วย
...
ประเด็นที่น่าสนใจคือแล้วพระสมเด็จฯกรอบสี่เหลี่ยมแบบฐาน 3 ชั้นนั้น มีการสร้างในช่วงไหน และแบ่งเป็นกี่ยุค
แม่พิมพ์พระสมเด็จฯฐาน 3 ชั้น 3 ยุค
เมื่ออ้างอิงข้อมูลจากตำราของตรียัมปวาย อาจบอกได้ว่า พระสมเด็จฯกรอบสี่เหลี่ยมแบบฐาน 3 ชั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ตามช่วงเวลาที่สร้าง โดยแบ่งเป็นยุคแม่พิมพ์วัดระฆังฯแบบโบราณ ยุคแม่พิมพ์วัดระฆังฯแบบพิมพ์ทรงมาตรฐาน และยุคแม่พิมพ์วัดบางขุนพรหม
ยุคแม่พิมพ์วัดระฆังฯแบบโบราณ
ตรียัมปวายได้กล่าวไว้ในหนังสือ พระเครื่องประยุกต์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ไว้ว่า “กล่าวกันว่า “นายเทศ” (กล่าวกันว่าเป็นหลานเจ้าพระคุณฯ) บ้านอยู่ถนนดินสอ เป็นผู้แกะแม่พิมพ์ขึ้นถวายท่านเจ้าพระคุณฯ เป็นเบื้องแรก ซึ่งเข้าใจว่าเป็น พิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ เป็นต้น สำหรับพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตรนั้น เชื่อกันว่าเจ้าพระคุณฯ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ต่อมาเจ้าวังหลังพระองค์หนึ่ง ซึ่งรับราชการอยู่ในกรมช่างสิบหมู่ ได้คิดออกแบบใหม่ถวาย กล่าวคือ ได้ดัดแปลงแก้ไขจากแบบเก่าๆ ให้ได้ลักษณะงดงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม และในที่สุด หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองหลวงราชสำนัก ร.4 เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย ซึ่งนับว่าเป็นแบบพิมพ์ที่งดงามมาก ...”
พระสมเด็จฯตามที่ตรียัมปวายกล่าวข้างต้น หรืออาจถือว่าเป็นพิมพ์ทรงโบราณแบบ 3 ชั้น เหล่านี้ น่าจะสร้างในช่วงเดียวกันหรือหลังจากการสร้างพระสมเด็จฯครั้งใหญ่ครั้งแรก ซึ่งเป็นพระสมเด็จฯแบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ไม่นาน และยังน่าจะสร้างก่อนการสร้างพระสมเด็จฯครั้งใหญ่ครั้งที่สอง อีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้นั้น เนื่องจากเมื่อทำการวิเคราะห์ถึงพิมพ์ทรงของพระสมเด็จฯแบบ 7 ชั้นแบบหูบายศรี ที่สร้างขึ้นใหม่ เมื่อคราวสร้างใหญ่ครั้งที่สองนั้น (พระสมเด็จฯแบบ 7 ชั้น ที่สร้างขึ้นเมื่อคราวสร้างใหญ่ครั้งแรกนั้นเป็นแบบหูประบ่า เป็นลักษณะของพิมพ์โบราณเช่นกัน - อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ให้ข้อมูลว่าเคยพบเห็นพิมพ์ทรงแบบหูประบ่านี้ที่เนื้อจัดแบบเนื้อวัดระฆังฯด้วยเช่นกัน) พระสมเด็จฯแบบ 7 ชั้น หูบายศรีนี้ พบว่ามีลักษณะเฉพาะทางพิมพ์ทรงเช่นเดียวกับพิมพ์ทรงของช่างทองหลวงเช่นกัน โดยเฉพาะการที่องค์พระโดยรวมมักจะมีลักษณะเหมือนกับหันไปทางขวามือองค์พระเล็กน้อย ซึ่งมาจากจินตนาการของช่างแกะที่ว่าขณะแกะได้นั่งมองพระต้นแบบจากด้านหน้าค่อนมาทางซ้ายมือองค์พระ ซึ่งพระสมเด็จฯชุดนี้น่าจะสร้างโดยช่างทองหลวงที่เข้ามาช่วยแกะแม่พิมพ์ในช่วงหลัง
ถ้าอ้างตามตำราตรียัมปวายดังกล่าว พระสมเด็จฯ แบบ 3 ชั้น ที่สร้างขึ้นในครั้งแรกๆหรือที่เรียกว่าพิมพ์ทรงโบราณของวัดระฆังฯเหล่านี้นั้น น่าจะไม่รวมถึงพิมพ์ทรงมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย พิมพ์ทรงใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกศบัวตูม และพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ยกเว้นพิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ ที่มีมาตั้งแต่แรกยุคพิมพ์โบราณ อย่างไรก็ตาม พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ พิมพ์ทรงมาตรฐานในปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ว่าวจุฬา นั้น แม่พิมพ์น่าจะมีการแกะใหม่โดยช่างทองหลวงโดยยึดโครงพิมพ์โบราณเดิม แต่ก็อาจจะมีบางพิมพ์ทรงย่อยที่ตกทอดมาจากยุคแม่พิมพ์โบราณด้วยก็ได้ เช่นพิมพ์ทรงว่าวจุฬา ที่มีลักษณะของพิมพ์ทรงที่มีความเก่าคร่ำมาก อาจารย์ประกิต หลิมสกุล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกว่า พระพิมพ์นี้สังเกตจากพิมพ์ทรงที่องค์พระมีลักษณะโบราณและสมถะ เช่นเดียวกับองค์เจ้าประคุณสมเด็จโต
พระสมเด็จฯพิมพ์โบราณตามตำราตรียัมปวายเหล่านี้ อันประกอบด้วย พิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ และพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตรนั้น ตามตำราตรียัมปวาย บอกว่าสร้างโดยนายเทศ โดยเป็นการแกะในช่วงแรก (ส่วนพระสมเด็จฯแบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ที่สร้างเมื่อคราวสร้างใหญ่ครั้งแรกนั้น สันนิษฐานว่า สร้างโดยนายเทศ และกลุ่มช่างฝีมือชาวบ้านและต่อมาอาจได้รับความช่วยเหลือจากช่างสิบหมู่ ได้เช่นกัน)
...
ในเรื่องนี้นั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ทรงมาตรฐาน คือ พิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ และพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร ฯลฯ ที่เห็นทุกวันนี้นั้น เมื่อพิจารณาจากเส้นสายลายเซ็น ตามทฤษฎีของการพิสูจน์หลักฐานแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะสร้างมาจากแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นใหม่ โดยใช้ช่างชุดเดียวกับที่แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ทรงมาตรฐาน ซึ่งก็คือช่างทองหลวง อาจจะมีบางพิมพ์ทรงย่อยที่สันนิษฐานว่ายังใช้แม่พิมพ์ของนายเทศอยู่ แต่น่าจะมีเป็นส่วนน้อย เช่นพิมพ์ทรงว่าวจุฬาดังที่กล่าวมาข้างต้น
ยุคแม่พิมพ์วัดระฆังฯแบบพิมพ์ทรงมาตรฐาน
ช่วงระยะเวลาที่มีการสร้างแม่พิมพ์กลุ่มนี้นั้น ไม่มีข้อมูลชัดเจนนักว่าสร้างในช่วงปี พ.ศ. ไหน ตำราตรียัมปวายบอกแต่เพียงว่าเป็นช่วงท้ายของการสร้างพระสมด็จฯ อย่างไรก็ตาม น่าจะต้องสร้างก่อน ปี พ.ศ. 2413 ซึ่งเป็นปีที่มีการบรรจุกรุวัดบางขุนพรหม และน่าจะต้องสร้างก่อน หรือในช่วงเวลาเดียวกับที่ท่านเจ้าประคุณ มีดำริให้สร้างพระสมเด็จครั้งใหญ่ครั้งที่สองเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยมมารดาท่าน
พระสมเด็จพิมพ์ทรงมาตรฐาน ซึ่งตามตำราตรียัมปวายบอกว่าสร้างโดยช่างทองหลวงของหลวงวิจารณ์เจียรนัย นั้นมีอยู่อย่างน้อยห้าพิมพ์ทรงที่เป็นของวัดระฆังฯ อันประกอบด้วย พิมพ์ทรงใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกศบัวตูม และพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ และอาจรวมถึงพิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ เป็นพิมพ์ทรงที่หก (ตามตำราตรียัมปวาย)
มีประเด็นว่าพิมพ์ทรงมาตรฐานอีกสามพิมพ์ทรงได้แก่ พิมพ์ทรงเส้นด้าย พิมพ์ทรงฐานคู่ และพิมพ์ทรงสังฆาฏิ ที่ปัจจุบันจัดว่าเป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดบางขุนพรหมนั้น สามารถนำมารวมว่าเป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดระฆังฯได้หรือไม่ ข้อมูลหนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย บอกว่าทั้งสามพิมพ์ทรงมาตรฐานนี้มีเฉพาะของวัดบางขุนพรหม แต่หนังสือพระเครื่องประยุกต์ ของตรียัมปวายเช่นกันบอกว่า ทั้งสามพิมพ์ทรงนี้ ในช่วงยุคแรกๆ นายเทศเป็นคนแกะแม่พิมพ์ อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ให้ข้อมูลว่า เคยเห็นพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดบางขุนพรหมแทบทุกพิมพ์ที่เป็นเนื้อวัดระฆังฯ แม่พิมพ์ของพิมพ์ทรงมาตรฐานทั้งสามพิมพ์ทรงดังกล่าว น่าจะเกิดจากการที่ช่างทองหลวงได้พัฒนาพิมพ์ทรง มาจากแม่พิมพ์โบราณ ที่สร้างโดยนายเทศ (รวมถึงช่างฝีมือชาวบ้านและช่างสิบหมู่) เมื่อประมวลจากข้อมูลข้างต้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าพิมพ์ทรงมาตรฐานทั้งสามพิมพ์ทรงดังกล่าว อาจจะถือว่าเป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานของทั้งวัดระฆังฯ-วัดบางขุนพรหม ได้เช่นกัน
...
ยุคแม่พิมพ์วัดบางขุนพรหม
การสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นค่อนข้างรู้เวลาสร้างที่แน่นอน คือมีการสร้างในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2413 เพื่อนำพระมาทำพิธีบรรจุในกรุพระเจดีย์ใหญ่ในปี พ.ศ. 2413 ตำราตรียัมปวาย บอกไว้ว่าในการสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น ได้มีการนำแม่พิมพ์พระของวัดระฆังฯมาใช้ทุกแม่พิมพ์รวมถึงแม่พิมพ์โบราณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย และได้มีการสร้างแม่พิมพ์ใหม่ขึ้นมาเพื่อพิธีนี้โดยเฉพาะเช่นเดียวกัน โดยแม่พิมพ์ที่สร้างขึ้นใหม่นั้น มีแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นมาจากไม้เป็นจำนวนไม่น้อย
บทส่งท้าย
น่าสนใจว่า แม่พิมพ์มาตรฐานห้าพิมพ์ของวัดระฆังฯ อันได้แก่ พิมพ์ทรงใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกศบัวตูม และพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ นั้นพัฒนามาจากไหน
"ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ" เคยนำเสนอว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ทรงฐานแซมนั้นมีจำนวนมากที่สุด และน่าจะได้รับอิทธิพลในการออกแบบพิมพ์ทรงมาจาก พระสมเด็จฯแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น หรือพระสมเด็จวัดเกศไชโย เนื่องจากมีลักษณะโครงพิมพ์ทรงบางประการที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามข้อมูลจากตรียัมปวายบอกว่า มีการสร้างแม่พิมพ์แบบฐานคู่ของวัดระฆังฯในยุคแรกๆโดยนายเทศ (พิมพ์ทรงฐานคู่น่าจะได้รับอิทธิพลทางพิมพ์ทรงมาจากพระสมเด็จฯแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ที่เป็นแบบทุกรกิริยาค่อนข้างมากเช่นกัน) จึงมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน ที่พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ทรงฐานแซม ที่เป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น จะได้รับอิทธิพลมาจากพิมพ์ทรงฐานคู่ของนายเทศ
พิมพ์ทรงเส้นด้ายนั้น มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเป็นต้นแบบในการถ่ายทอดพิมพ์ทรงให้กับพิมพ์ทรงใหญ่ไม่ว่าจะเป็นของวัดระฆังฯหรือวัดบางขุนพรหม นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่อง เคยกล่าวไว้ในหนังสือ พรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ไว้ว่า "เซียนพระรุ่นก่อนนั้นบอกว่าพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงเส้นด้ายนั้นเปรียบเสมือนเป็นภาพสเก็ตช์ของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ใหญ่" ประเด็นเรื่องการถ่ายทอดพิมพ์ทรงนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีรายละเอียดค่อนข้างมาก "ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ" จะขอนำมาเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
...
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้ายที่งดงามมากองค์หนึ่ง พิมพ์ย่อยหูบายศรี (นิรนาม ได้แบ่งไว้เป็น 7 พิมพ์ทรงย่อย) สังเกตเห็นเป็นลักษณะรอยนูนข้างพระเศียรที่เห็นเหมือนเป็นหูบายศรี (พระพิมพ์เส้นด้ายเป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ที่พบมากที่สุด พอๆกับพิมพ์สังฆาฏิ) มีขี้กรุปกคลุมทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ มีวรรณะขาวอมเหลือง พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีความคมชัดงดงามมาก เส้นซุ้มและเส้นตามองค์พระมีลักษณะมุดตัวเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว ด้านหน้าปรากฏขอบปลิ้นให้เห็นทั้งสี่ด้าน ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นโดยทั่วไป ขอบด้านข้างทั้งสี่ด้านเป็นสันนูนขึ้นมาเล็กน้อย ตัดขอบพอดีทั้งสี่ด้าน เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ติดตามอ่าน บทความเพิ่มเติมได้ที่ คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์