ตรียัมปวาย ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม และพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่เป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น สร้างด้วยช่างชุดเดียวกันโดยเป็นแม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัยจากวัดระฆังฯ ทั้งสิ้น โดยตรียัมปวายได้สรุปจากการที่ท่านได้ศึกษาค้นคว้าจากพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งพยานเอกสาร การสอบถามข้อมูลจากบุคคลที่น่าเชื่อถือต่างๆ ที่ได้เคยสัมภาษณ์พูดคุยกับพระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) ศิษย์ใกล้ชิดท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต รวมถึงจากการพิจารณาพระสมเด็จฯ จำนวนมากทั้งพระแท้และพระปลอม โดยในการพิจารณาดังกล่าวนี้ ครอบคลุมหลักการสำคัญทั้ง 3 ประการในการพิจารณาพระสมเด็จฯ คือ พิมพ์ทรง เนื้อหามวลสาร และธรรมชาติความเก่า

บุคคลสำคัญในวงการพระเครื่องอีกท่านหนึ่งคืออาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโส ได้เคยกล่าวไว้เช่นกันว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น ได้มีการสร้างที่วัดระฆังฯ โดยช่างชุดเดียวกับช่างที่สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ จากนั้นจึงได้นำมาบรรจุลงกรุพระเจดีย์ใหญ่ที่วัดบางขุนพรหม และยังมีพระบางส่วนที่ไม่ได้บรรจุลงกรุอีกด้วย

อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ยังได้อธิบายถึงหลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ที่สำคัญมากด้วยว่า “การดูพระสมเด็จฯ ให้ดูเป็นศิลป์ พระแต่ละองค์ ทำออกมาจะไม่เหมือนกัน เหมือนดูลายเซ็น ที่เป็นลักษณะของศิลป์เช่นเดียวกัน เมื่อเซ็นชื่อแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แต่จะคล้ายกัน โดยเราสามารถบอกได้ว่าเป็นลายเซ็นของใคร” ซึ่งหลักการนี้ช่วยในการแยกแยะว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม และพระสมเด็จวัดระฆังฯ ในกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น สร้างด้วยช่างชุดเดียวกันด้วยเช่นกัน

หลักการดูพระสมเด็จฯ ดังกล่าวนั้น มีความสอดคล้องกับหลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ตามแนวทางพิสูจน์หลักฐาน ที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ใช้เป็นแนวทางในการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมาโดยตลอด โดยเฉพาะในด้านการพิจารณาพิมพ์ทรง

...

ทฤษฎีการพิสูจน์ลายเซ็นหรือลายมือเขียนนั้น เป็นทฤษฎีหลักอันหนึ่งในด้านการพิสูจน์หลักฐาน ที่เป็นที่ยอมรับกันในวงการพิสูจน์หลักฐานในระดับสากล โดยมาจากหลักความจริงที่ว่า “ลายมือชื่อ (ลายเซ็น) หรือ ลายมือเขียน ของคนแต่ละคนนั้นเกิดจากการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ และมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

ทฤษฎีการพิสูจน์ลายเซ็น

อัลเบิร์ต เฌอมัน ออสบอนด์ นักวิชาการด้านการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ที่เป็นที่ยอมรับกันในระดับโลก ได้วางหลักการไว้ว่า “ลายมือชื่อ หรือลายมือเขียน ของคนแต่ละคนนั้น จะมีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลที่จะไม่เหมือนกับของคนอื่นได้เลย และการลงลายมือชื่อของคนๆ เดียวกันเมื่อมีการลงลายมือชื่อในแต่ละครั้งก็จะไม่เหมือนกันเลย แต่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เหมือนกันหรือมีความคล้ายกัน ทำให้รู้ว่าเป็นคนๆ เดียวกันที่ลงลายมือชื่อ ซึ่งถ้าเหมือนกันทุกประการจะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ”

หลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบ อัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ ของงานศิลปกรรมได้เช่นกัน โดยในระดับโลกก็ได้มีการใช้หลักการนี้ เช่น รูปภาพวาดของศิลปินชื่อดัง วินเซนต์ แวนโกะ จะมีลักษณะของการสะบัดแปรงพู่กันที่มีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถที่จะนำมาเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการพิจารณาตรวจพิสูจน์ภาพวาดว่าเป็นของแท้หรือไม่

อัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ คืออัตลักษณ์ที่เกิดจากทักษะความชำนาญ ที่ต้องผ่านการฝึกฝนเป็นระยะเวลาพอสมควร จะมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีระเบียบแบบแผน เหมือนลักษณะของการลงลายมือชื่อของแต่ละบุคคล ที่เซ็นชื่อแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันแต่มีความคล้ายกันที่เป็นเอกลักษณ์ จนสามารถรู้ได้ว่าเป็นลายเซ็นของใคร

หลักการพิสูจน์พระสมเด็จวัดระฆังฯ ข้อหนึ่งที่ประยุกต์มาจากหลักการพิสูจน์ลายมือชื่อ หรือลายมือเขียน ก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ในแต่ละองค์นั้นถึงแม้จะสร้างจากแม่พิมพ์คนละชุดกันแต่จะมีความคล้ายกันหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ อัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ ที่เหมือนกันนั่นเอง ในกรณีที่แม่พิมพ์นั้นสร้างจากช่างคนเดียวกันหรือจากตระกูลช่างเดียวกัน

ช่างที่เป็นผู้แกะสลักแม่พิมพ์ในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่มีความโดดเด่นงดงามนั้นควรจะต้องเป็นช่างที่มีความชำนาญมากระดับเดียวกับช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง จนกระทั่งสามารถสร้างผลงานที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ของตนเองได้ งานที่ออกมาเป็นงานศิลปกรรมที่มีความละเอียดประณีต ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังฯ มีคุณค่าทางพุทธศิลป์ที่งดงามและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เราสามารถพบเห็นถึงอัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ของช่างหลวงได้ทั่วไปในงานพุทธศิลปกรรมที่สร้างขึ้นช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่มีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ กล่าวคือเมื่อได้เห็นผลงานแล้วจะบอกได้เลยว่าใครเป็นศิลปินช่างผู้สร้างงานศิลปกรรมชิ้นนั้นๆ

...

เอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของอัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์นี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการที่เราจะสามารถนำมาใช้เพื่อพิสูจน์หาพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ตามหลักการของการพิสูจน์หลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของพิมพ์ทรง สำหรับพระสมเด็จฯ ในกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานที่สร้างโดยช่างที่มีทักษะความชำนาญสูง

บทส่งท้าย

ประเด็นที่น่าสนใจก็คืออาจมีความเป็นไปได้ที่การสร้างแม่พิมพ์ในการทำพระสมเด็จวัดระฆังฯ อาจจะสร้างโดยช่างชาวบ้านที่ไม่มีความชำนาญในเชิงศิลปกรรมมากนัก เช่น ช่างฝีมือกลุ่มนายเทศหลานท่านเจ้าประคุณฯ หรือช่างฝีมือชาวบ้านจากบ้านช่างหล่อ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปีแรกๆ ของการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ ก่อนที่จะมีช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง (รวมถึงกลุ่มช่างทองหลวง) ที่มีความชำนาญสูงเข้ามาช่วยในการสร้างในช่วงต่อมา โดยมีการวิวัฒนาการปรับปรุงทั้งตัวแม่พิมพ์และสูตรวัตถุดิบมาตามลำดับ ทำให้ได้พิมพ์ทรงมาตรฐานที่มีความงดงามที่สุดในช่วงเวลาต่อมา

แม่พิมพ์ที่สร้างโดยช่างชาวบ้านที่ไม่มีความชำนาญในงานศิลปกรรมในช่วงแรกนั้นอาจจะทำให้การหาอัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ ทำได้ค่อนข้างยากหรืออาจจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย (อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เรียกว่าเป็นศิลปกรรมแบบพื้นบ้าน หรือ พริมิทีฟ) การนำเอาหลักการพิสูจน์หลักฐานมาประยุกต์ใช้ในส่วนของอัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ ก็อาจจะทำได้ค่อนข้างยากเช่นกัน จึงต้องพิจารณาจากอัตลักษณ์อย่างอื่น (ถ้ามี) หรือข้อมูลพื้นฐานอย่างอื่นที่ค่อนข้างมีคุณค่าในทางการพิสูจน์น้อยกว่า เป็นข้อมูลหลักที่ใช้ในการพิจารณา

การประยุกต์ใช้หลักการพิสูจน์หลักฐาน ด้านการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อหรือลายเซ็น เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์เชิงช่างศิลป์ ต้องใช้การสังเกตและการฝึกฝนค่อนข้างมาก เพื่อเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของเชิงช่างที่ใช้ในการสร้างแม่พิมพ์พระ โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขอนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป

...

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้ายที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง พิมพ์ย่อยแขนบ่วง (นิรนาม แห่งนิตยสาร พรีเชียส ได้แบ่งไว้เป็น 7 พิมพ์ทรงย่อย) สังเกตจากลักษณะของวงแขนที่เป็นที่มาของชื่อ (พระพิมพ์เส้นด้ายเป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ที่พบมากที่สุด พอๆ กับพิมพ์สังฆาฏิ) มีวรรณะขาวอมเหลือง พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีความคมชัดงดงามมาก ด้านหน้าปรากฏให้เห็นรอยแตกลายงาบริเวณลำพระองค์พระ และช่องระหว่างฐาน เกิดจากการลงรักบนเนื้อพระที่มีความหนึกแกร่ง มีคราบรักผสมขี้กรุหลงเหลือปรากฏให้เห็นบริเวณด้านหน้าองค์พระ ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบแยกย่นโดยทั่วไป ขอบข้างด้านหลังด้านซ้ายและด้านขวาเป็นสันนูนขึ้นมาเล็กน้อย ตัดขอบค่อนข้างใกล้เส้นซุ้มทำให้ไม่เห็นรอยขอบปลิ้นยกเว้นด้านขวาองค์พระ ที่ปรากฏขอบปลิ้นให้เห็นเล็กน้อย ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

...