พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตในกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานตามตำราของตรียัมปวายนั้น ถือว่าเป็นพระพิมพ์ที่ทำมาจากปูนปั้นที่เนื้อหามวลสารมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกับพระชนิดอื่น อาจจะมีพระบางชนิดที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างบางอย่างที่ทำให้แยกแยะได้ เนื้อหามวลสารของพระสมเด็จฯที่มีลักษณะบางอย่างเป็นลักษณะเฉพาะตัวนี้ สามารถนำมากำหนดเป็นอัตลักษณ์สำคัญของพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เพื่อใช้ในการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ เพื่อหาพระสมเด็จฯแท้ได้เช่นเดียวกัน
ตรียัมปวาย ได้กำหนดลักษณะของเนื้อพระสมเด็จฯ ว่าต้องมีลักษณะสำคัญคือ “พิจารณาได้ง่าย” หรือ “เนื้อจัด” โดยแยกแยะไว้เป็น 13 ลักษณะ ดังนี้ “ความละเอียด ความนุ่ม ความแกร่ง น้ำหนัก ความหนึก ความฉ่ำ ความซึ้ง การแตกลายงา การแตกลายสังคโลก การลงรักเก่าทองเก่า การลงทองล่องชาดเก่า แป้งโรยพิมพ์ และทรายเงินทรายทอง ...”
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความของแต่ละลักษณะ โดยอ้างอิงตามแนวทางอธิบายของตรียัมปวายเป็นหลัก เพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาดังต่อไปนี้
1.ความละเอียด เนื้อของพระสมเด็จฯนั้นมีความละเอียดเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะทำจากเนื้อปูน ไม่เหมือนกับพระเนื้อดินประเภทอื่นๆ การที่บอกว่าพระสมเด็จฯบางองค์มีเนื้อหยาบหรือมีลักษณะเป็นหย่อมๆนั้น เกิดจากการที่มวลสารต่างๆไม่ได้ถูกคลุกเคล้าเข้ากันอย่างดี ตรียัมปวายยังบอกว่าเนื้อลักษณะนี้นั้นกลับเป็นข้อดีที่ทำให้เนื้อมีความซึ้งมากขึ้น และยังจะทำให้เนื้อมีความแกร่งมากกว่าธรรมดาด้วย
2.ความนุ่ม เป็นลักษณะของความรู้สึกที่เกิดจากการมองด้วยตาเป็นหลัก แต่อาจจะเกิดจากการใช้นิ้วมือสัมผัสด้วยเช่นกันโดยจะมีความรู้สึกว่านุ่มมือเล็กน้อยไม่ระคายมือ เนื้อที่มีความนุ่มมากๆมองดูจะไม่กระด้างตา แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเนื้อพระนั้นจะมีความอ่อนนุ่มจริงๆ โครงสร้างเนื้อพระย่อมมีความแกร่งแฝงอยู่เป็นธรรมชาติ ตรียัมปวายเน้นว่าความนุ่มนั้นไม่ใช่เรื่องตรงกันข้ามกับความแกร่ง แต่เป็นลักษณะตรงกันข้ามกับความกระด้างซึ่งเป็นลักษณะของปลอม
...
3.ความแกร่ง เกิดจากมวลสารของเนื้อปูนซึ่งจับตัวกันแข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่ลักษณะของความกระด้าง เนื้อพระที่มีความแกร่งนั้น ผิวจะมีลักษณะนุ่มนวลไปพร้อมๆกันด้วย ของปลอมนั้นผิวจะมีลักษณะกระด้างแห้งสากมือมาก หรืออาจจะเปียกชื้นเนื่องมาจากการใช้น้ำมันบางอย่างชโลมหรือขัดผิวให้มัน เพื่อให้ลดความกระด้างลง อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยบอกว่า วิธีอย่างหนึ่งที่นักเล่นพระรุ่นก่อนใช้พิจารณาพระสมเด็จฯแท้ก็คือ การนำเอาพระมาเคาะเบาๆกับกระจก ถ้ามีเสียงดังกังวาลมีความพริ้ว ก็น่าจะเป็นพระแท้ แต่ถ้าเป็นเสียงทึบๆก็น่าจะเป็นของปลอม
4.น้ำหนัก ของแท้มักจะมีน้ำหนักหน่วงๆมือ ตามปริมาตรของเนื้อพระ ของปลอมส่วนมากมักจะมีน้ำหนักน้อย แต่ก็ต้องระวังของปลอมที่อาจจะมีน้ำหนักมากไว้เช่นกัน เรื่องน้ำหนักนี้ถือว่าเป็นส่วนประกอบอันหนึ่งในการพิจารณาพระเท่านั้น
5.ความหนึก เป็นคุณสมบัติรวมของ ความนุ่ม ความแกร่งและน้ำหนัก ของปลอมนั้นไม่มีความหนึกเพราะยังไม่เก่าพอ ความหนึกนี้เป็นเรื่องที่อธิบายยาก ตรียัมปวายอธิบายเรื่องความหนึกของเนื้อพระสมเด็จฯโดยอธิบายเปรียบเทียบกับเนื้อหินสามชนิดคือ เนื้อหินสีเขียว หินอ่อน และหินปูน โดยบอกว่า เนื้อหินอ่อนจะมีความหนึกกว่าเนื้อหินอีก 2 ชนิด โดยเนื้อหินสีเขียวจะแกร่งเกินไป และหินปูนก็หนึกนุ่มเกินไป
6.ความฉ่ำ เป็นลักษณะของเนื้อที่มีความนุ่มและเงาสว่าง เนื้อประเภทแกร่งมีความฉ่ำเช่นเดียวกัน เงาสว่าง เกิดจากถูกใช้มาพอสมควร อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล เคยอธิบายว่า “นักเลงพระรุ่นเก่า นิยมพระสึกช้ำ เจอองค์ที่ซีดหมองก็มักเอาสำลีปัด ครู “ตรียัมปวาย” ก็ยังสอนให้ใช้ทั้งแป้ง ทั้งครีมช่วย สมัยนั้นถือกันว่า เงาสว่าง ที่โชว์ฉ่ำในเนื้อที่สึกช้ำ เป็นข้อตัดสินพระแท้”
7.ความซึ้ง เกิดจากวัสดุมวลสารที่มีวรรณะต่างกัน ตรียัมปวายยกตัวอย่าง เช่น วรรณะหม่นๆของผงวิเศษและผงเกสรดอกไม้ ที่จะตัดกับวรรณะเนื้อนวลของกล้วยผสมหินปูน และวรรณะขาวของแป้งโรยพิมพ์
8.การแตกลายงา เกิดจากการที่เนื้อพระถูกลงรักน้ำเกลี้ยงไว้เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆเมื่อเนื้อยังไม่แห้งสนิท ต่อมาเมื่อรักล่อนหลุดออกแล้วจะทำให้เกิดรอยแตกอย่างละเอียดของเนื้อพระบริเวณด้านหน้า (ด้านหลังจะไม่มีการแตกลายงาเด็ดขาด) ตามร่องการแตกจะปรากฏรักน้ำเกลี้ยงเป็นสีเลือดหมู หรือดำซีดๆเจือเลือดหมู หรือรักสีดำสนิท อาจปรากฏทองเก่าติดกับเนื้อรักอีกด้วย ถ้าเนื้อแตกลายงาโดยไม่มีเส้นสีรักเก่า จะเป็นของปลอม เนื้อที่มีการแตกลายงาจะเป็นเนื้อแกร่ง (แต่ถึงแม้จะเป็นเนื้อแกร่ง ถ้าเป็นการลงรักทีหลัง จะไม่มีการแตกลายงา) เนื้อนุ่มถึงแม้มีการลงรักมาจะไม่แตกลายงา หรือถ้ามีก็เป็นส่วนน้อยและปรากฏเป็นรอยตื้นๆ
9.การแตกลายสังคโลก จะละเอียดและตื้นกว่าแตกลายงา เป็นการแตกด้านหน้า แตกด้านหลังมีน้อย เกิดจากปฏิกิริยาของปูนเมื่อแข็งตัว ความแห้งตัวและแข็งตัวของเนื้อในไม่เท่ากัน จะแตกเฉพาะเนื้อแกร่ง
10. การลงรักปิดทอง รักมีอยู่ 2 ชนิด คือรักน้ำเกลี้ยงวรรณะดำเจือเลือดหมู และรักน้ำดำ รักน้ำเกลี้ยงเมื่อแห้งตัวจะล่อนออกเอง รักน้ำดำมีเนื้อหนาและเหนียวแน่น เอาออกยาก อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโส ให้ข้อมูลว่า รักน้ำเกลี้ยงนั้นเป็นรักใส โดยก่อนปิดทองนั้นจะลงรักพื้นก่อนเป็นรักสีดำเข้มหนา ปล่อยให้แห้งตัว จากนั้นจึงลงรักน้ำใสและดำเนินการปิดทองเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถ้าปิดทองบนรักน้ำข้น ทองจะจมลงในรักเพราะความหนาของรัก อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ยังบอกอีกด้วยว่า พระสมเด็จฯที่ลงรักปิดทอง ถ้าทำจากวัด จะเป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม โดยจะปิดทองเฉพาะที่องค์พระไล่ลงมาที่ฐานและซุ้ม ส่วนที่พื้นผนังพระจะไม่ปิดทอง พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นจะปิดทองก่อนเข้ากรุ พระแบบนี้พบเจอได้น้อย
...
11.การลงทองล่องชาด ที่พบเจอมีเฉพาะพิมพ์ทรงปรกโพธิ์เท่านั้น พิมพ์ทรงอื่นนั้นไม่มีปรากฏ (อย่างไรก็ตามในยุคต่อมามีการพบเจอพระสมเด็จฯที่มีการลงทองล่องชาด ที่เป็นที่ยอมรับในวงการมากขึ้น) การลงทองล่องชาด (ร่องชาด) มีลักษณะทำนองเดียวกับรักเก่าทองเก่า การล่องชาด นั้นหมายถึงทาชาดลงในระหว่างสิ่งที่ทาทองหรือปิดทองแล้ว การล่อนของชาดเก่ามีน้อยกว่ารักเก่า ชาดเก่าที่ลงไว้ก็มักจะมีสัณฐานหนากว่ารักเก่าด้วย ถ้าเป็นเนื้อหนึกนุ่มจัด เนื้อจะไม่แตกลายงา (เช่นพิมพ์ปรกโพธิ์ที่มักมีเนื้อหนึกนุ่ม) แต่บริเวณที่ชาดกะเทาะหลุดออก เนื้อจะมีลักษณะดูดซึมวรรณะแดงของชาดไว้เช่นเดียวกัน
12. แป้งโรยพิมพ์ เป็นลักษณะของผิวนวลๆที่เกิดกับพระที่ไม่ค่อยได้ใช้ หรือเกิดจากการเอาพระสรงน้ำแล้วผึ่งให้ผิวแห้ง เกิดได้ทั้งเนื้อนุ่มและเนื้อแกร่ง (เนื้อแกร่งเกิดได้น้อยกว่าเนื้อนุ่ม) กรณีของแป้งโรยพิมพ์นี้มีบางตำราบอกว่าเกิดจากผงแป้งที่มีการโรยลงบนแม่พิมพ์พระเพื่อไม่ให้เนื้อพระติดกับแม่พิมพ์ขณะที่ถอดออก ในขณะที่บางตำราบอกว่าเกิดจากเมือกของน้ำปูนที่ถูกขับออกมาจากเนื้อปูนในขณะที่มีการกดเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์
13. ทรายเงินทรายทอง เป็นอนุภาคละเอียดอยู่ในเนื้อพระเป็นส่วนน้อย บางองค์จะปรากฏตามผิว พบเจอมากในเนื้อประเภทเนื้อแกร่ง บางตำราบอกว่า ทรายทองนั้นเกิดจากแผ่นทองคำเปลวที่ผ่านการตำโขลกในขั้นตอนที่มีการผสมมวลสารต่างๆเพื่อเตรียมเนื้อพระสมเด็จฯตามสูตรโบราณ
...
บทสรุป
แนวทางพิจารณาเนื้อพระสมเด็จฯนั้นมีหลายรูปแบบหลายวิธีการตามที่ครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯได้กรุณาชี้แนะ แนวทางของการพิจารณาเนื้อพระสมเด็จฯของตรียัมปวายที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอนั้นถือว่าเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เริ่มศึกษาเรื่องพระสมเด็จฯ วัตถุประสงค์หลักในการพิจารณาเนื้อพระสมเด็จฯนั้นก็เพื่อที่จะหาลักษณะเฉพาะของเนื้อพระสมเด็จ หรืออัตลักษณ์ที่เกี่ยวกับเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จฯ ลักษณะบางอย่างของเนื้อพระสมเด็จฯนั้นมีความเฉพาะตัวมาก หรือเรียกว่ามี “คุณค่าในการพิสูจน์” สูง สามารถกำหนดให้เป็นอัตลักษณ์ของพระสมเด็จฯได้ (มีลักษณะเฉพาะไม่ซ้ำกับพระประเภทอื่น) ในขณะที่ลักษณะอีกบางอย่างของเนื้อพระสมเด็จฯนั้นอาจจะไม่มีความเฉพาะตัวมากนัก โดยถือว่ามี “คุณค่าในการพิสูจน์” น้อยกว่า แต่ก็มีส่วนช่วยในการนำมาพิจารณาพระสมเด็จแท้ได้เช่นเดียวกันเมื่อพิจารณาประกอบกับข้อมูลอื่นๆ
เมื่อรู้ถึงอัตลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะของเนื้อพระสมเด็จฯแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปก็คือ การพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ โดยเรื่องสำคัญในขั้นตอนนี้ก็คือการคัดเลือกเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้พิสูจน์ให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะที่ต้องการพิสูจน์ อัตลักษณ์บางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีราคาแพงในการพิสูจน์ ก็สามารถช่วยในการพิจารณาพระแท้ได้ ในทางกลับกันถ้าเครื่องมือที่ใช้ในการพิสูจน์นั้นมีราคาแพง แต่สิ่งที่พิสูจน์นั้นมี “คุณค่าในการพิสูจน์” ต่ำ ก็แทบจะไม่ช่วยอะไรในการพิสูจน์พระสมเด็จแท้เช่นกัน “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ อีกครั้งในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
...
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้ายที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง พิมพ์ย่อยแขนกว้าง (นิรนาม แห่งนิตยสาร พรีเชียส ได้แบ่งไว้เป็น 7 พิมพ์ทรงย่อย) โดยสังเกตจากลักษณะของแขนพระ (พระพิมพ์เส้นด้ายเป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ที่พบมากที่สุด พอๆ กับพิมพ์สังฆาฏิ) พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา เส้นซุ้มและเส้นองค์พระรวมถึงเส้นฐาน เป็นลักษณะเหมือนเส้นลวด หรือเส้นด้าย ที่เป็นที่มาของชื่อพิมพ์ มีวรรณะขาวอมเหลือง มีคราบขี้กรุปรากฏให้เห็นบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ (ด้านหลังคราบกรุค่อนข้างหนามีบางส่วนผสมคราบสีแดงของน้ำมันตังอิ้ว) ตัดขอบพอดีเส้นบังคับพิมพ์ที่เป็นสันนูน ไม่ปรากฏรอยขอบปลิ้นชัดเจนนัก ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบผสมสังขยามีรอยยุบย่นโดยทั่วไป เห็นเป็นรอยปริแยกตามแนวขอบด้านบนและด้านล่างคล้ายวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์