การพิจารณาริ้วรอยลักษณะพื้นผิวด้านหลังพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งในการพิจารณาพระสมเด็จฯกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานตามตำราของตรียัมปวาย อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยกล่าวไว้ว่า หลังพระสมเด็จฯนั้นมีความสำคัญมาก นักเลงพระสมัยก่อน มักจะไม่ให้ผู้อื่นดูหลังพระสมเด็จฯองค์จริงของตัวเองจนกว่าจะมีการเช่าหากันจริงๆ

นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในนิตยสาร “พรีเชียส” ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ว่า “จุดสุดท้ายให้ดูหลังพระ ซึ่งถือว่าเป็นครูใหญ่ ...นักปลอมพระไม่มีใครสามารถทำเลียนแบบได้เลย เพราะหลังพระจะมีการหดเหี่ยวยุบตัวของเนื้อพระตามอายุของพระ” นิรนาม ยังได้แยกแยะลักษณะของริ้วรอยหลังพระสมเด็จฯออกเป็น 4 แบบ โดยอธิบายตามลักษณะที่ตามองเห็นคือ แบบหลังเรียบ (หลังทื่อ) แบบหลังกระดาน แบบหลังสังขยา และแบบหลังกาบหมาก โดยได้อธิบายไว้ด้วยว่าพระสมเด็จฯพิมพ์ใดจะมีลักษณะของริ้วรอยผิวด้านหลังเป็นแบบใด (อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ว่า ในพระสมเด็จฯหนึ่งองค์นั้นอาจจะมีลักษณะของริ้วรอยด้านหลังเป็นแบบผสมคือมีมากกว่า 1 แบบในองค์เดียวกัน) อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ อีกท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีความชำนาญมากๆนั้น เพียงแต่ดูด้านหลัง ก็สามารถบอกได้ว่าพระสมเด็จฯองค์นั้นแท้หรือไม่และเป็นพิมพ์อะไร

ตรียัมปวาย ได้อธิบายลักษณะของริ้วรอยทางธรรมชาติด้านหลังพระสมเด็จฯ ว่ามีลักษณะ 8 ประการ โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความนำเสนอเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาดังต่อไปนี้

1. รูพรุนปลายเข็ม เป็นรูเล็กๆขนาดปลายเข็ม ปรากฏโดยทั่วไปบริเวณด้านหลัง มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ชัดเจนบ้างรางเลือนบ้าง ในแต่ละองค์ เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างปูนขาว (ปูนเปลือกหอย) ที่เป็นเนื้อหามวลสารหลักทำปฏิกิริยากับน้ำ ในขั้นตอนการผสมมวลสาร เป็นการคายก๊าซออกซิเจนหรือฟองอากาศที่พยายามผุดจากภายในเนื้อพระออกมาที่พื้นผิวภายนอก ในขณะที่เนื้อยังเป็นของเหลว หรือที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาปูนเดือด” อย่างไรก็ตาม ตรียัมปวายบอกว่า รูพรุนปลายเข็มถึงแม้จะเป็นลักษณะของของจริง แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินพระแท้ เพราะของแท้ที่ไม่ปรากฏรูพรุนปลายเข็มก็มีปรากฏเช่นกัน เช่นเนื้อที่มีปูนขาวผสมน้อย เนื้อที่หมาดเกินไปปฏิกิริยาเกิดน้อย เป็นต้น และของปลอมที่มีรูพรุนปลายเข็มก็มีให้เห็นอยู่ด้วยเช่นกัน

...

2. รอยปูไต่ เป็นริ้วรอยที่เกิดจากแรงกระทำจากภายนอกลงบนพื้นผิว มีขนาดใหญ่กว่ารูพรุนปลายเข็ม มีลักษณะเป็นรูสองรูเดินเกาะคู่เป็นแนวเคียงกัน ส่วนมากเริ่มจากชายกรอบด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เป็นแนวเฉียงมีทั้งเฉียงลงหรือเฉียงขึ้น จุดเริ่มต้นจะลึกหนักและค่อยๆตื้นทีละน้อยจนหายไปในทิศทางตรงกันข้าม เกิดขึ้นจากกรรมวิธีการสร้างในขณะที่เนื้อยังอ่อนตัวอยู่ ตรียัมปวายบอกว่าสันนิษฐานไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และบอกว่าถ้าพบรอยปูไต่ที่พระสมเด็จฯองค์ใด จะเป็นเครื่องช่วยในการยืนยันความเป็นพระแท้ เพราะไม่ปรากฏว่าพบริ้วรอยแบบนี้ในของปลอม (ในขณะนั้น) แม้กระทั่งในของแท้ก็พบน้อยองค์ ซึ่งถ้าว่าตามหลักการพิสูจน์หลักฐานแล้ว ถ้าอ้างตามคำกล่าวของตรียัมปวายเช่นนี้ ย่อมหมายถึงว่า “รอยปูไต่” นั้นสามารถถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะหรือเรียกว่าเป็นอัตลักษณ์ของพระสมเด็จฯ (มีเฉพาะในพระสมเด็จฯแท้) ได้เช่นเดียวกัน

(อย่างไรก็ตาม คำว่า “รอยปูไต่” ในความหมายของครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯแต่ละท่านนั้น อาจมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น ของ “นิรนาม” แห่งนิตยสารพรีเชียส จะหมายรวมถึงรอยปริแยก ที่เป็นแนวยาวคู่ขนานไปกับขอบด้านหลังพระสมเด็จฯด้วย เป็นต้น)

3. รอยหนอนด้น มีลักษณะคล้ายรอยปูไต่ แต่แทนที่จะเป็นรอยคู่ จะเป็นรอยเดี่ยว มีขนาดกว้างและลึกกว่ารอยปูไต่เล็กน้อย และมีรอยลีลาเป็นแนวทางเดินเช่นเดียวกัน บางองค์เป็นแนวทางโค้งๆ เป็นริ้วรอยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะที่เนื้ออ่อนตัว ตรียัมปวายบอกว่าสันนิษฐานไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรเช่นกัน มีปรากฏน้อยองค์และสามารถใช้เป็นข้อตัดสินพระแท้ได้เช่นเดียวกับรอยปูไต่ได้ เพราะยังไม่มีผู้ทำปลอมขึ้น (ในขณะนั้น) (ตำราบางเล่มบอกว่ารอยหนอนด้นเกิดจากอินทรีย์วัตถุที่ฝังอยู่บนผิวพระที่ได้ย่อยสลายลงตามกาลเวลา ทำให้ทิ้งร่องรอยเอาไว้)

4. รอยย่นตะไคร่น้ำหรือฟองเต้าหู้ เป็นรอยย่นของผิวเนื้อโดยทั่วไปตลอดด้านหลัง หรือมีเพียงบางตอน ทำให้ด้านหลังพระไม่ราบเรียบทีเดียว มีลักษณะเป็นริ้วๆคล้ายรอยย่นของผิวตะไคร่น้ำที่ละเอียด (ไม่ได้หมายความว่ามีในพระที่ถูกแช่น้ำ) บางตอนจะเป็นวงๆขนาดย่อม มีแอ่งรูพรุนปลายเข็มตรงกลาง เรียกว่า “ฟองเต้าหู้” ริ้วรอยเหล่านี้ค่อนข้างละเอียดและตื้น โดยทั่วไปปรากฏสำหรับองค์ที่ค่อนข้างบาง ทั้งประเภทเนื้อหนึกนุ่มและหนึกแกร่ง ซึ่งเคยลงรักมาในขณะที่เนื้อยังไม่แห้งสนิท โดยขณะที่แห้งตัวจะเกิดแรงดึงกันระหว่างเนื้อปูนกับเนื้อรักที่แห้งตัวช้ากว่า ในทำนองเดียวกับการแตกลายงาที่เกิดขึ้นด้านหน้าองค์พระ เพียงแต่รอยย่นตะไคร่น้ำจะเกิดด้านหลังองค์พระ สำหรับองค์ที่ไม่ลงรักก็อาจเกิดริ้วรอยแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่ส่วนมากเกิดในองค์ที่ค่อนข้างหนาและเป็นประเภทเนื้อปูนแกร่งและเนื้อมีการยุบตัวมาก เนื่องจากพื้นที่ด้านหน้ามากกว่าด้านหลังการยุบตัวจึงไม่เท่ากัน ด้านหลังพื้นที่น้อยกว่าจึงเกิดแรงดึงขึ้นตามบริเวณผิวพื้น ตรียัมปวายยังบอกด้วยว่า รอยตะไคร่น้ำหรือฟองเต้าหู้ เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับของแท้ ซึ่งไม่ปรากฏในของปลอม (ในขณะนั้น)

5.รอยกาบหมาก มีลักษณะคล้ายคลึงกับรอยย่นตะไคร่น้ำ แต่มีลักษณะของริ้วและร่องรางของริ้วที่มีความหนาและลึกกว่าเล็กน้อย คล้ายรอยกาบหมาก มีปรากฏทั้งรอยทางดิ่งและรอยทางขวาง สันนิษฐานว่าเกิดจากหลังจากที่ถอดพระออกจากพิมพ์และตัดกรอบแล้ว คงได้วาง (ด้านหลัง) พระ ลงบนแผ่นกาบหมาก ตรียัมปวายบอกด้วยว่า รอยกาบหมากนี้ เหมือนกับที่ปรากฏในพระเครื่องโบราณอื่นๆ เช่น พระซุ้มกอ พระหลวงพ่อโต เป็นต้น และยังเป็นริ้วรอยธรรมชาติที่พบน้อยที่สุดสำหรับพระสมเด็จฯหรือพระเครื่องโบราณทุกชนิด

...

6. รอยสังขยา มักปรากฏบริเวณเนื้อส่วนกลางของพื้นที่ด้านหลัง เป็นลักษณะริ้วรอยย่นซ้อนกันของเนื้อ กระจายออกเป็นวงซ้อนๆกัน คล้ายกับผิวน้ำ พลิ้วระรอกเป็นวงกลมกระจายออกจากส่วนกลาง วงขอบของริ้วรอยแต่ละชั้น อาจประกอบด้วย ริ้วระแหงอันละเอียด รอยย่นตะไคร่น้ำ และรูพรุนปลายเข็ม หรืออาจเป็นวงชั้นเดียว ฯลฯ ตรียัมปวายบอกด้วยว่า ริ้วรอยชนิดนี้ เกิดจากกรรมวิธีการสร้าง ขณะที่กดเนื้อบนแม่พิมพ์ให้แนบทุกสัดส่วนแล้ว แต่เนื้อยังพร่องไม่เต็มจึงเติมเนื้อเข้าไป แต่เนื้อที่เติมใหม่นี้ไม่ได้กดให้เข้ากับเนื้อเดิม หรือเนื้อใหม่นี้หมาดกว่าเดิม เมื่อยุบตัวจึงไม่เท่ากันทำให้เกิดริ้วรอยธรรมชาตินี้ขึ้น ตรียัมปวายตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ลักษณะของเนื้อและวรรณะในวงรอยย่นสังขยานั้นจะแตกต่างกับเนื้อในส่วนอื่นโดยรอบ เช่นมีวรรณะหม่นคล้ำและขาวสลับกัน ฯลฯ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นเนื้อคนละส่วนที่ไม่ได้คลุกเคล้าเข้ากันสนิท ตรียัมปวายยังบอกว่า รอยสังขยานี้มีปรากฏน้อยมากเช่นกันในพระแท้ และไม่มีปรากฏในของปลอม (ในช่วงเวลานั้น) (อย่างไรก็ตามบางตำราให้ความเห็นว่า ริ้วรอยสังขยานี้เกิดจากเนื้อพระที่แก่ปูนและมีความเหลวมากกว่าปกติ เมื่อใช้วัสดุเช่นแผ่นไม้กดจากด้านหลังแล้วยกออกจึงมีการดูดติดไม้ขึ้นมามีลักษณะเป็นรอยเหนอะ (คล้ายหน้าขนมสังขยา) การที่รอยเหนอะมักเกิดบริเวณส่วนกลางก็เนื่องจากขณะที่ดึงแผ่นไม้กระดานขึ้นนั้น เนื้อจะมีแรงดูดบริเวณส่วนกลางมากที่สุดและดูดบริเวณด้านข้างให้ตามติดขึ้นมา)

...

7. รอยลายนิ้วมือ เป็นร่องรอยของลายนิ้วหัวแม่มือของผู้พิมพ์พระ เช่นเดียวกับที่เกิดในพระเครื่องฯโบราณ เช่น พระผงสุพรรณ และพระนางพญา เป็นต้น ตรียัมปวายบอกด้วยว่าเป็นกรณีที่เกิดได้ยากในพระสมเด็จฯ เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อปูนขณะที่เป็นของเหลว เมื่อแห้งตัวจะยุบตัวลง ริ้วรอยต่างๆจะเลือนหายไป ถ้ามีก็มักจะเกิดกับองค์ที่เนื้อหมาดขณะสร้าง และมีการกดประทับหัวแม่มืออย่างหนักแน่น (ตำราบางเล่มบอกว่า พระสมเด็จฯพิมพ์เศียรบาตรอกครุฑ เป็นพิมพ์ที่พบรอยลายนิ้วมือคู่ด้านหลังมากกว่าพระสมเด็จฯพิมพ์อื่น)

8. รอยริ้วระแหง ตรียัมปวายบอกว่ามีปรากฏค่อนข้างหนาตา มีลักษณะเป็นแนวแตกระแหงของเนื้อ เช่นเดียวกับการแตกระแหงของผืนนาในฤดูร้อน (แตกต่างจากการแตกลายงา) เป็นแนวเส้นค่อนข้างละเอียดมากน้อยต่างกันไป ไม่มีลักษณะตายตัวชัดเจนเป็นการขยุกขยิกคดเคี้ยวไปมาตามธรรมชาติ อาจจะสั้นหรือยาวไม่แน่นอน ตรียัมปวายบอกว่าเกิดจากการที่เนื้อปูนเมื่อแข็งตัวจะหดตัวไม่เท่ากัน เกิดรอยปริของเนื้อขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าเป็นรอยแตกอ้าผิดธรรมชาติหรือมีตุ่มพะรุงพะรังผิดสังเกต จะเป็นของปลอม

(การที่มีการพยายามหลีกเลี่ยงการสะสมพระที่มีรอยริ้วระแหงด้านหลัง อาจมาจากเหตุที่ว่าบางครั้งรอยริ้วระแหงเหล่านี้ อาจจะมีลักษณะที่คล้ายกับรอยแตกลายงาหรือลายสังคโลก ที่ไม่ควรมีปรากฏในด้านหลังพระ)

ตรียัมปวายยังได้ให้แนวทางในการสังเกตริ้วรอยด้านหลังขององค์พระที่เป็นของปลอมไว้ดังนี้ ลายงาเทียมและลายสังคโลกเทียม ซึ่งปกติแล้วทั้งสองอย่างนี้จะพบได้ด้านหน้าองค์พระเท่านั้น ถ้าพบด้านหลังองค์พระถือว่าเป็นของปลอม ผิวมะระ ถ้าเป็นรอยนูนคล้ายผิวมะระเป็นแว่นๆ โดยตลอด หรือเป็นตอนๆ ใช้นิ้วมือลูบจะรู้สึกเป็นลอนแว่นๆชัดเจน ถือว่าเป็นของปลอม (มีความคล้ายรอยย่นตะไคร่น้ำ แต่แบบหลังเมื่อสัมผัสจะไม่รู้สึกชัดเจนนัก) รอยแตกอ้า ถ้ามีลักษณะเขื่อง ยาว แตกอ้าชัดเจน เกิดจากการให้ความร้อน ถือว่าเป็นของปลอม ลอนลูกคลื่น มีลักษณะเป็นลอนๆ ขนาดเขื่อง และท้องคลื่นค่อนข้างลึก ถือว่าเป็นของปลอมเช่นเดียวกัน และปุ่มปมรุงรังที่มีลักษณะกะรุ่งกะริ่ง คล้ายเนื้อที่งอกออกมา เช่นของเนื้อวัดพลับ จะไม่พบในด้านหลังพระสมเด็จฯ แต่จะพบบ้างอยู่ตามชายกรอบองค์พระโดยมีขนาดเท่าปลายเม็ดงา

...

กล่าวโดยสรุป “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ริ้วรอยหลังพระสมเด็จฯนั้น ถือว่ามี “คุณค่าในทางการพิสูจน์หลักฐาน” ค่อนข้างมาก โดยเมื่อพิจารณาประกอบกับข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือแล้ว อาจนำไปสู่การกำหนดอัตลักษณ์พระสมเด็จฯอีกรูปแบบหนึ่ง (มีเฉพาะในพระแท้ของสมเด็จโต) ได้ด้วยเช่นกัน

บทส่งท้าย

การที่ลักษณะของพื้นผิวด้านหลังของพระสมเด็จฯไม่สามารถทำปลอมได้ง่ายนั้นก็เนื่องจาก ในขั้นตอนการทำพระนั้น พื้นผิวพระด้านหน้านั้นเกิดจากแรงกดบนเนื้อพระให้แนบสนิทกับผิวแม่พิมพ์ แรงกดประเภทนี้เริ่มต้นจากการกดหรือเคาะลงตรงๆ จากด้านหลังพระโดยอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วยกดเช่นแผ่นไม้กระดาน (อาจทำให้เกิดหลังพระแบบหลังกระดาน) แต่เมื่อเนื้อพระลงไปในบล็อกแม่พิมพ์แล้วแรงกดจะมาจากทุกทิศทางจากลักษณะของการออกแบบแม่พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นแอ่งที่มีการลาดเท (แม่พิมพ์พระสมเด็จฯโดยรวมจะมีการออกแบบให้ลาดเท เช่นบริเวณซุ้มผ่าหวาย ลำพระองค์ ลำคอ ท่อนแขน ฯลฯ เพื่อให้ง่ายต่อการถอดพระออกจากแม่พิมพ์) และยังมีกรอบบังคับพิมพ์เป็นตัวกันไม่ให้เนื้อส่วนหน้าพระปลิ้นออกขณะถูกกด พื้นผิวในโซนนี้จะมีความเรียบแน่นตัวมากเป็นพิเศษ

ในขณะที่พื้นผิวด้านหลังองค์พระนั้น เป็นพื้นผิวที่เกิดจากแรงกดลงในทิศทางเดียว โดยกดผ่านอุปกรณ์ช่วยเช่นแผ่นไม้กระดานหรืออุปกรณ์อื่นๆ พื้นผิวด้านหลังจะได้รับแรงกดพอสมควรแต่ไม่เท่าพื้นผิวด้านหน้า เนื่องจากขณะกดจะมีการถ่ายแรงไปด้านข้างตามการปลิ้นตัวของเนื้อพระด้วย พื้นผิวพระด้านหลังนี้จะมีความแน่นตัวไม่มากนักเป็นธรรมชาติมากกว่าพื้นผิวด้านหน้า และเมื่อมีการหดยุบตัว จะทำให้สามารถสังเกตความแตกต่างระหว่างพระแท้และพระทำเลียนแบบได้ง่ายกว่าด้านหน้า หลักการนี้สามารถนำไปใช้อธิบายกับพระสมเด็จฯบางองค์ที่มีการนำแม่พิมพ์กดลงบนเนื้อพระได้เช่นเดียวกัน

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีเนื้อละเอียด เป็นเนื้อผสมแบบปูนนุ่ม มีวรรณะขาวนวลหม่น มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบพอดีองค์พระ มีคราบคล้ายรักน้ำเกลี้ยงปรากฏทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยกให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นทั้งสี่ด้าน แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม