ในบรรดาพระสมเด็จฯทั้ง 3 วัด ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อันประกอบไปด้วยพระสมเด็จวัดระฆังฯ พระสมเด็จวัดเกศไชโย และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม (วัดใหม่อมตรส) นั้น พบว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ จะไม่มีคราบกรุ (ยกเว้นพระสมเด็จวัดระฆังฯฝากกรุวัดบางขุนพรหม หรือที่เรียกว่าพระสองคลอง) สำหรับพระสมเด็จวัดเกศไชโยนั้น มีบางองค์ที่พบคราบกรุบางๆ ส่วนพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม นั้นส่วนใหญ่จะต้องมีขี้กรุไม่มากก็น้อย ครูอาจารย์หลายท่านได้กรุณาชี้แนะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ของ นิรนาม และ ตรียัมปวาย

นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯได้กล่าวไว้ในหนังสือ พรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ว่าสาเหตุที่พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ส่วนใหญ่จะต้องมีขี้กรุ (คราบกรุ) นั้น เกิดจากการที่พระสมเด็จฯทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในกรุพระเจดีย์ใหญ่เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าร้อยปี (ยกเว้นบางส่วนที่ไม่บรรจุกรุตั้งแต่แรก หรือมีการนำออกมาหลังจากบรรจุไม่นานนัก) สภาพภายในกรุพระเจดีย์ที่ทั้งร้อนในเวลากลางวันและหนาวเย็นในเวลากลางคืน ทำให้สภาพขององค์พระสมเด็จฯเปลี่ยนแปลงไปมีคราบกรุและคราบหินปูนจับ เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญยิ่งของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เอกลักษณ์อันสำคัญนี้เกิดขึ้นเฉพาะกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมเท่านั้น พระที่เกิดจากกรุพระเจดีย์อื่นๆ ก็จะมีคราบกรุที่แตกต่างกันออกไป จึงกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของการดูพระแท้ (หรือเรียกว่าเป็นอัตลักษณ์แบบหนึ่งของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ที่สามารถนำมาใช้ในการพิสูจน์อัตลักษณ์ตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน)

นิรนามยังได้แยกแยะขี้กรุของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ออกเป็น 5 ประเภท โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาดังต่อไปนี้

...

1. ขี้กรุน้ำมันตังอิ๊ว เนื่องจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม มีส่วนผสมของน้ำมันตังอิ๊วอยู่ในมวลสารที่นำมาสร้างพระ เมื่อพระฝังอยู่ในกรุพระเจดีย์ซึ่งปิดหมดจดจนมีช่องอากาศน้อยมาก ในเวลากลางวันพระเจดีย์ตากแดดทั้งวัน ทำให้กรุพระเจดีย์ร้อนจัด พระสมเด็จฯที่ฝังอยู่ภายในกรุพระเจดีย์จะเกิดการหดตัว น้ำมันตังอิ๊วซึ่งผสมอยู่ในองค์พระจะถูกขับออกมาจากองค์พระเป็นเม็ดเล็กๆผุดขึ้นจากองค์เนื้อพระ อากาศภายในกรุพระเจดีย์จะอบอ้าว และนิ่งไม่มีลมพัดผ่าน ปูนแคลเซียมในอากาศ (อาจเกิดจากการระเหิดของปูนประเภทต่างๆที่อยู่ในองค์พระเจดีย์) จะตกตะกอนและผสมกับน้ำมันตังอิ๊ว เป็นเหตุให้น้ำมันตังอิ๊วค่อยๆแข็งตัวเหมือนหินเหนียวๆ บางองค์ก็มีบางจุด และบางองค์ก็ผุดขึ้นทั่วทั้งองค์จนมองไม่เห็นองค์พระประธาน เจ้าของพระสมเด็จฯจึงมักจะให้ช่างผู้ชำนาญค่อยๆปอกขี้กรุน้ำมันตังอิ๊วออกเพื่อให้องค์พระดูคมชัด แต่ก็จะเห็นรากของน้ำมันตังอิ๊วยังคงฝังอยู่กับองค์พระสมเด็จเป็นสีน้ำตาลค่อนข้างแดง (ถือว่าเป็นพระที่มีการแต่งผิว)

2. ขี้กรุเม็ดทราย เป็นลักษณะขี้กรุเม็ดเล็กๆ คล้ายๆเม็ดทรายที่ผุดขึ้นจากเนื้อมวลสารขององค์พระสมเด็จฯอันเกิดจากปูนแคลเซียมในอากาศที่จับตัวบนผิวองค์พระเป็นเม็ดๆ เรียกว่าขี้กรุเม็ดทราย

3. ขี้กรุฟองเต้าหู้ เป็นอีกลักษณะของขี้กรุที่เกิดจากแคลเซียมในอากาศ ที่จับตัวอยู่บนผิวขององค์พระสมเด็จฯที่มีลักษณะแข็งเป็นแผ่นเหมือนฟองเต้าหู้ บางองค์มีเพียงบางจุดเท่านั้น บางองค์มีทั้งองค์ ทำให้องค์พระสมเด็จฯดูตื้น ไม่คมชัดเท่าที่ควร เจ้าของพระสมเด็จฯจึงมักจะให้ช่างผู้ชำนาญแกะฟองเต้าหู้ออกทั้งองค์ (คล้ายกับการปอกขี้กรุน้ำมันตังอิ๊ว) ทำให้องค์พระดูลึกคมชัด (ถือว่าเป็นพระที่มีการแต่งผิวเช่นกัน)

4. คราบดินในกรุ ที่ใต้กรุพระเจดีย์ในวัดบางขุนพรหม จะเป็นดินทั้งหมด และเชื่อว่าจะเป็นดินที่มีน้ำเจิ่งนอง (น้ำบางส่วนมาจากการที่มีคนลักลอบตกพระอยู่ตลอดและมีการเทน้ำลงไปเพื่อให้พระหลุดออกมาได้ง่าย) น้ำและดินที่ผสมกันจะจับและเคลือบอยู่บนผิวขององค์พระสมเด็จฯบางองค์ เมื่อผสมกับปูนแคลเซียมที่จับตัวในอากาศ จะทำให้น้ำและดินจับแน่นอยู่บนองค์พระสมเด็จฯ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่มีสีของดินจับอยู่บนองค์พระที่มีเอกลักษณ์ของสีดินที่ชุ่มอยู่ตลอดเวลา แต่จับแน่นจนล้างไม่ออก โดยส่วนมากจะคลุมอยู่บนขี้กรุเม็ดทรายอีกชั้นหนึ่ง

5. ขี้กรุเป็นแป้งฝุ่น การสร้างพระเจดีย์นั้นภายในมักจะต้องมีขื่อไม้คานไม้ค้ำอยู่เป็นระยะๆเต็มไปหมด ในขณะที่เทพระสมเด็จฯลงบรรจุในกรุพระเจดีย์นั้น พระบางองค์จะกองและค้างอยู่บนขื่อหรือคานไม้ หรือกองอยู่บนส่วนบนสุดที่ไม่สามารถถูกน้ำใต้กรุพระเจดีย์ได้ ทำให้องค์พระสมเด็จฯแห้งตลอดเวลา ปูนแคลเซียมในอากาศที่จับอยู่บนผิวขององค์พระสมเด็จฯมีลักษณะบางๆ แต่จับแน่นเหมือนแป้งฝุ่นสีขาวนวลๆ ซึ่งทำให้องค์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ใสสะอาดสวยงามเป็นที่สุด

...

ตรียัมปวาย ได้พูดถึงเรื่องการพิจารณาคราบกรุและฝ้ากรุ (ความหมายเดียวกับที่ นิรนาม เรียกว่า ขี้กรุ) ไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ไว้เช่นกันโดยแยกเป็น 4 องค์ประกอบหลักในการพิจารณาคือ การก่อตัวของคราบกรุ ผิวหน้าของคราบกรุ วรรณะของคราบกรุ และ ฝ้ากรุ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความเพื่อการศึกษาโดยมีรายละเอียดดังนี้

การก่อตัวของคราบกรุ ตรียัมปวาย ได้อธิบายถึงลักษณะดังกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยบอกว่า “...คราบกรุมีกำเนิดมาจากกระบวนการของธรรมชาติ อันสืบเนื่องมาจาก สารหินปูนผสมกับสนิมเหล็กภายในกรุ มีปฏิกิริยาก่อตัวทับถมกันหนาขึ้น และจับผิวเนื้อพระอย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าลักษณะการปรากฏของคราบกรุ จึงเป็นริ้วรอยทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ...” ตรียัมปวายบอกด้วยว่าเมื่อพิจารณาโดยใช้แว่นขยายกำลัง 10 เท่าจะพบว่า “ลักษณะการก่อตัวของคราบแท้ ซึ่งใช้เวลานานปี จะมีความกลมกลืนกันในระหว่างส่วนที่ก่อตัวหนาขึ้นกับส่วนที่ลาดบาง บริเวณใดที่คราบกรุจับเนื้อไม่ตลอด คือบริเวณที่ปรากฏเนื้อโผล่มาให้เห็นนั้น ถ้าพิจารณาชายกรอบของคราบ จะเห็นได้ว่ามีลักษณะค่อยๆลาดลง มายังผิวเนื้ออย่างสม่ำเสมอ และบริเวณชายขอบที่จับกับผิวเนื้อนั้น จะไม่มีลักษณะขาดห้วงลงไปเฉยๆ หากมีลักษณะแทรกตัวลงไปในเนื้อทีเดียว (คราบเทียมจะไม่ปรากฏลักษณะเช่นนี้) นอกจากจะเป็นคราบชนิดที่แผ่ตัวบางๆซึ่งเกิดจากเนื้อที่ค่อนข้างยุ่ยหรือฝ่อฟ่าม ในลักษณะนี้คราบอาจกะเทาะออกมาเป็นแว่นๆได้”

ผิวหน้าของคราบกรุ ตรียัมปวายบอกว่าในการพิจารณา อาจต้องใช้แว่นขยายกำลังสูงประมาณ 20 เท่า โดยบอกว่า “จะเห็นได้ชัดเจนว่า ผิวหน้าของคราบกรุนั้น มีลักษณะเป็น “เกร็ดกระดี่” หรือ “ผิวกำมะหยี่” อย่างละเอียด (คราบเทียมมีลักษณะราบเรียบ ลื่นเป็นมัน) เป็นริ้วรอยธรรมชาติซึ่งเกิดจากการก่อตัวของสารแคลเซียมสนิมเหล็ก ในห้วงเวลาอันนานปี และภายใต้ภาวะอุตุอันหนึ่ง”

...

วรรณะคราบกรุ ตรียัมปวายพูดถึงเรื่องนี้ว่า “คราบแท้นั้นจะมีวรรณะน้ำตาลไหม้ที่เข้มทึบ ปราศจากการขุ่นมัวในเนื้อคราบ และถ้ายังไม่ได้ขัดขูดให้เกิดสัมผัสเพื่อลอกเอาคราบออกแล้ว ผิวหน้าของคราบจะแห้งผาก ปราศจากลักษณะเป็นมัน แม้จะผ่านสัมผัสจับต้องให้ถูกเหงื่อ แต่ทิ้งไว้เพียงชั่วครู่ จะกลับเหมือนเดิม (คราบเทียมจะขุ่นมัว มีความสดใหม่เป็นเงามัน) ตรียัมปวายยังพูดถึง วรรณะสีพิกุลแห้ง เป็นวรรณะที่ค่อนมาทางน้ำตาลอ่อน ว่าเป็นวรรณะของคราบกรุนี้ด้วยเช่นกัน โดยมีผิวค่อนข้างแกร่ง ไม่หนานัก”

ฝ้ากรุ ตรียัมปวายบอกว่า “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมเมื่อคราวเปิดกรุในปี พ.ศ. 2500 มักจะมีราของคราบกรุมีลักษณะเป็นผิวฝ้านวลบางๆ ฉาบอยู่บนพื้นผิวส่วนหน้าของคราบทำนองคล้ายๆแป้งโรยพิมพ์ ของแท้จะมีสัณฐานบางๆจับตัวอย่างสม่ำเสมอบนคราบ จะไม่มีลักษณะรวมกันเป็นขุยๆหรือหย่อมๆ แม้จะถูกสัมผัสจนเป็นเหงื่อ แต่เมื่อทิ้งไว้สักครู่เดียวก็จะแห้งสนิทและเป็นฝ้าใยตามเดิม”

ตรียัมปวาย ยังได้แบ่งคราบกรุออกเป็น 3 ประเภทคือ คราบหนังกระเบน “มีลักษณะเป็นแผ่นคราบบางๆจับผิวพระโดยทั่วไป ถ้าบางจะแนบกับผิวและฝ้ากรุนวลๆ ไม่เป็นเมล็ด ถ้าหนาจะปรากฏเมล็ดขนาดตามความหนาและเข้มขึ้น ไม่แกร่งมากนัก มีวรรณะสีพิกุลแห้งซีดหรือมีสีขี้เถ้าหรือก้านมะลิ อาจกะเทาะล่อนหลุดแต่ผิวเนื้อไม่หลุดตามมาด้วย” คราบขี้มอด “มีสัณฐานค่อนข้างหนา จับเนื้อพระเป็นหย่อมๆหรือมีอยู่ทั่วไป จับผิวบางๆ หรือถ้าจับหนาจะตะปุ่มตะป่ำเป็นก้อนคล้ายขี้มอด ไม่แกร่งนัก ยกเว้นเกิดร่วมกับคราบแกร่ง ถ้าเกิดร่วมกับคราบหนังกระเบน จะทำให้เมล็ดหนังกระเบนเขื่องและหนาตาและเข้มขึ้น สามารถเอาออกได้ไม่ยาก มีวรรณะน้ำตาลไหม้คล้ำหรือแกมด้วยสีช็อกโกแลตหรือเทาหม่น ผสมฝ้ากรุนวลตา” คราบแกร่ง “มีคราบสนิมเหล็กเจือปนมาก เอาออกยาก ที่เกิดอย่างจัดจะกินเนื้อพระเป็นขุมลงไปอีกด้วย มักจับตัวเป็นพืดหนา หรือเป็นหย่อมก็มี มักไม่เกิดกับเนื้อปูนนุ่มหรือคราบขี้มอด แต่มักเกิดกับเนื้อปูนแกร่ง หรือคราบหนังกระเบน ไม่แน่นอนนัก มีวรรณะน้ำตาลไหม้เข้มจัด อาจผสมกับสีขี้เถ้ากับฝ้ากรุนวล”

...

ตรียัมปวาย ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า พระที่ถูกเก็บในกรุนั้น คราบกรุจะจับเนื้อพระทีละน้อย และมากขึ้นตามช่วงเวลา ตรียัมปวายได้เปรียบเทียบคราบกรุในพระสมเด็จฯที่เปิดกรุในปี พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) (อายุในกรุ 23 ปี) กับพระที่เปิดกรุเมื่อปี พ.ศ.2500 (อายุในกรุ 87 ปี) โดยอย่างหลัง คราบกรุจะมีสัณฐานหนาและเข้มกว่ารุ่นที่เปิดก่อนอย่างมาก และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นมีการนำออกมา (ตกพระ) อยู่หลายช่วงเวลา ดังนั้น ประเด็นเหล่านี้นั้นควรนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขอตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับพระที่นำออกมาจากกรุแล้วนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยส่วนใหญ่มักจะขึ้นอยู่กับสภาพการจัดเก็บหรือสภาพการใช้ พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่แทบไม่ถูกใช้นั้น การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (ที่ไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี) จะมีน้อยมาก เช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ หรือพระสมเด็จวัดเกศไชโย ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี (เช่นการงอกของแคลไซต์) ที่มีการเกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน โดยจะต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูงดูนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป

นอกจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่มีการบรรจุไว้ในกรุพระเจดีย์ใหญ่แล้ว ยังมีพระสมเด็จฯที่มีการบรรจุไว้ในกรุเจดีย์เล็กอีกเช่นกัน อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยกล่าวไว้ว่าพระสมเด็จฯกลุ่มนี้มีรูปแบบการสร้างบางอย่างคล้ายกับพระเครื่องของหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ พระสมเด็จฯกลุ่มนี้จะมีลักษณะคราบกรุที่แตกต่างจากกรุพระเจดีย์ใหญ่

บทสรุป

ลักษณะของขี้กรุ (คราบกรุและฝ้ากรุ) ของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนี้ อาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากพระกรุอื่นๆ เมื่อพิจารณาตามแนวทางพิสูจน์หลักฐานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นหลักฐานที่ “มีคุณค่าในทางการพิสูจน์” สูง หรือพูดได้ว่าสามารถนำมากำหนดเป็นอัตลักษณ์อีกรูปแบบหนึ่งของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ เพื่อใช้ในกระบวนการพิสูจน์พระสมเด็จฯตามแนวทางพิสูจน์หลักฐาน เพื่อหาพระแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้เช่นเดียวกัน

พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม นั้นถือว่าเป็นพระสมเด็จฯที่มีประวัติความเป็นมาชัดเจน มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตจริง มีประเด็นที่น่าสนใจว่า การตรวจสอบพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมโดยผู้ที่มีความชำนาญสูงที่ใช้วิธีการดูอัตลักษณ์พระสมเด็จฯ เมื่อเทียบกับการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูงโดยไม่ได้เน้นตรวจที่ลักษณะเฉพาะหรืออัตลักษณ์ของพระสมเด็จฯ ผลที่ได้จะมีความแตกต่างกันหรือเหมือนกันแค่ไหนอย่างไร

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์ฐานแซมที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีความคมชัดงดงาม มีวรรณะออกน้ำตาลอ่อน มีคราบขี้กรุปกคลุมโดยทั่วไปทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ โดยเฉพาะบริเวณพระอุระที่มีสีน้ำตาลเข้มเป็นลักษณะคราบขี้มอดผสมหนังกระเบน ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นโดยทั่วไป ด้านหน้าเห็นรอยขอบปลิ้นเล็กน้อยด้านซ้ายมือองค์พระ ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม