ปัจจุบันมีข้อถกเถียงเป็นกระแสกันในวงการพระเครื่องถึงเรื่องการพิสูจน์พระแท้หรือพระปลอม ประเด็นคลาสสิก คือทุกคนต่างบอกว่าพระของตัวเองแท้ ทั้งนั้น ไม่มีใครบอกว่าพระของตัวเองปลอม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่าแนวทางการพิสูจน์พระแท้ ตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน สามารถช่วยหาทางออกในเรื่องนี้ได้เช่นกัน
หลักการสำคัญในการพิสูจน์หลักฐานเพื่อพิจารณาว่าสิ่งที่ต้องการพิสูจน์นั้นเป็นของแท้หรือของปลอมก็คือ ผู้พิสูจน์จำเป็นที่จะต้องมีการหาต้นแบบหรือของแท้ไว้เปรียบเทียบ
การพิจารณาพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตก็เช่นกัน เมื่อต้องการพิสูจน์ว่าพระสมเด็จฯที่นำมาพิจารณานั้นเป็นพระแท้หรือไม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาพระสมเด็จฯองค์ต้นแบบหรือองค์ครูไว้เปรียบเทียบ
การหาพระสมเด็จฯองค์ต้นแบบนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมีการสร้างมามากกว่า 150 ปี การหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของพระสมเด็จฯองค์ต้นแบบนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามสูง และมีรายละเอียดมาก “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอแนวทางพิจารณาพยานหลักฐาน ตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน เพื่อกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบดังนี้
พยานหลักฐานที่ช่วยยืนยันพระสมเด็จฯต้นแบบ
ในการพิจารณาพยานหลักฐานนั้น มีขั้นตอนสำคัญ 2 ขั้นตอน คือ การรับฟังพยานหลักฐาน และการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน
การรับฟังพยานหลักฐาน คือการคัดเลือกว่าพยานหลักฐานชิ้นใดควรจะนำเข้ามาพิจารณา โดยต้องเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังพิจารณา หรืออาจเรียกว่า “มีคุณค่าในทางการพิสูจน์” เช่น หลักฐานบางอย่างเมื่อพิจารณาแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบหรือไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ควรนำมาพิจารณา ยกตัวอย่างเช่นหนังสือบางเล่มที่เขียนขึ้นมาโดยเฉพาะในยุคหลัง มีการอ้างที่มาที่ไปของข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ควรนำมาพิจารณาตั้งแต่แรก
...
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เป็นการดูว่าพยานหลักฐานที่รับฟังนั้นมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน รวมถึงในกรณีพยานหลักฐานมีมากกว่าหนึ่งชิ้นและขัดแย้งกัน หลักฐานชิ้นไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน และถ้าพยานหลักฐานต่างๆสนับสนุนกันไม่ขัดแย้งกัน ก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
“พยานหลักฐาน” หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามที่มีคุณสมบัติ สามารถที่จะบ่งหรือส่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงหรือความไม่เป็นจริงในประเด็นที่มีการถกเถียงกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปใจความพอสังเขปดังต่อไปนี้ (ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจากบทความเรื่อง “พยานหลักฐานทางคดีแพ่งและคดีอาญา” ของสำนักกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม)
1. พยานบุคคล มี 2 ประเภท คือ ประจักษ์พยาน หมายถึง พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ถือเป็นประจักษ์พยาน กับพยานบอกเล่า หมายถึง พยานที่รับฟังข้อเท็จจริงจากบุคคลอื่นมาและนำมาถ่ายทอดต่อ ในกรณีของการศึกษาเรื่องพระสมเด็จฯ ที่มีอายุมากกว่า 150 ปี ย่อมหลงเหลือแต่พยานบอกเล่า ที่มีการเล่าสืบต่อกันมา (ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของบันทึก) ซึ่งต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พระที่มีการสร้างขึ้นมาไม่นานมากนัก ช่วงหลังปี พ.ศ. 2500 เช่นพระเหรียญทองคำ หลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ พิมพ์ไม่ผ่าปาก ที่เป็นประเด็นถกเถียงเรื่องความแท้กันนั้น อาจจะยังมีประจักษ์พยานหลงเหลืออยู่ หรือแม้แต่เป็นเพียงพยานบอกเล่าเช่นข้อมูลจากทายาทสายตรงของผู้สร้าง ก็ค่อนข้างจะน่าเชื่อถือเพราะยังผ่านช่วงเวลามาไม่นานนัก
2. พยานเอกสาร คือ สิ่งซึ่งมีการบันทึกตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายไว้ สิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ จะบันทึกด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้ สิ่งที่พยานเอกสารพิสูจน์ คือข้อความที่เอกสารแสดงออก ไม่ใช่ตัววัตถุเอกสาร อย่างไรก็ตามบันทึกที่พูดถึงเรื่องการสร้างพระสมเด็จฯ ที่พอรับฟังได้ที่มีปรากฏล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะของการบันทึกคำบอกเล่าต่อๆกันมาโดยมีต้นตอมาจากผู้ที่เคยทันเห็นการสร้างพระสมเด็จฯ ไม่ใช่เอกสารที่ทำขึ้นโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตโดยตรง บันทึกเหล่านี้จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นพยานบอกเล่าที่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือตำราเกี่ยวกับพระสมเด็จฯที่มีการทำออกมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่รับฟังได้ จนถึงที่ไม่น่ารับฟัง ตำราที่มีความน่าเชื่อถือสูงในยุคแรกๆที่มีน้ำหนักน่ารับฟัง มีอาทิเช่น หนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2495 (อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล เป็นผู้หนึ่งที่นำองค์ความรู้เรื่องพระสมเด็จฯของ “ครูตรียัมปวาย” มาผสมผสานกับองค์ความรู้ของท่านอย่างลงตัว ในคอลัมน์ “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อย่างสม่ำเสมอ) หนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2495 และหนังสือประวัติและเกียรติคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) โดยฉันทิชัย (ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์) รวบรวมเนื้อหาพิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร “ตำรวจ” เมื่อปี พ.ศ. 2494 เป็นต้น
3. พยานวัตถุ คือ วัตถุหรือสิ่งอื่นใดที่อาจจะพิสูจน์ความจริงได้โดยการตรวจดู มิใช่โดยการอ่านหรือพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้ พยานวัตถุกลุ่มหนึ่งที่มีน้ำหนักมาก สามารถรับฟังได้ ในเรื่องการกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบ คือ การพบพระสมเด็จฯจำนวนมากในกรุพระเจดีย์ใหญ่ วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรหม) กรุงเทพฯ โดยนอกจากการพบพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมแล้ว ยังพบพระสมเด็จวัดเกศไชโย พิมพ์ใหญ่ 7 ชั้นนิยม และพิมพ์อกตลอด 6 ชั้น นอกจากนั้นยังพบพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่เรียกว่าพระสมเด็จฯสองคลอง ที่มีลักษณะเหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังฯที่เล่นหากันก่อนหน้านั้นเช่นเดียวกัน โดยเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลที่มีน้ำหนักน่ารับฟังอื่นๆแล้ว พระสมเด็จฯเหล่านี้ถือว่าเป็นพยานวัตถุสำคัญ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตในฐานะผู้สร้างได้ การพบวัตถุพยานกลุ่มนี้มีความสำคัญมาก เพราะสามารถที่จะนำไปวิเคราะห์ขยายผลได้อีกหลายเรื่อง เช่น กระบวนการสร้าง คุณลักษณะของเนื้อหามวลสาร ร่องรอยการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา เป็นต้น ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาใช้กำหนดอัตลักษณ์พระสมเด็จฯ และยังทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จฯมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และน่าจะนำไปสู่การยอมรับพระสมเด็จฯที่มีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต
...
4. พยานผู้เชี่ยวชาญ คือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการ วิชาชีพ หรือกิจการด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ศิลปะ วิทยาศาสตร์ การฝีมือ หรือการงานที่ทำ เป็นต้น ซึ่ง ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญที่มีพื้นฐานมาจากความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้นั้น สามารถนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงที่มีการถกเถียงกันได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้ที่มีความชำนาญด้านศิลปะเชิงช่าง หรือเส้นสายลายเซ็น สามารถบอกได้ว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯ และพระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม นั้นเป็นพระสมเด็จฯที่สร้างโดยช่างกลุ่มเดียวกัน หรือสกุลช่างเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากลักษณะของพิมพ์ทรงพระประกอบกับอัตลักษณ์เชิงช่างที่ปรากฏในองค์พระ (ส่วนใหญ่) หรือในกรณีที่ในอนาคตอาจจะมีการนำองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ (ที่น่าเชื่อถือ) มาใช้วิเคราะห์พระสมเด็จฯ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญได้เช่นเดียวกัน
บทสรุป
การพิจารณาพระสมเด็จฯตามหลักการพิสูจน์หลักฐานเพื่อหาพระสมเด็จฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น มีขั้นตอนสำคัญอยู่ 2 ขั้นตอน คือ การกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบ (เพื่อหาอัตลักษณ์รวมถึงคุณลักษณะอื่นๆ ที่มีคุณค่าเพียงพอในทางการพิสูจน์) และการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ ก่อนที่จะเข้าไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือ ขั้นตอนการรับรองพระสมเด็จฯแท้ ซึ่ง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
การกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบนั้น เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลหรือเรียกว่าชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เพื่อนำมาสนับสนุนยืนยันว่า พระสมเด็จฯองค์ต้นแบบนั้นถูกสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตจริงๆ พยานหลักฐานนั้นมีอยู่ 4 ประเภท คือ พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานผู้เชี่ยวชาญ โดยจะต้องพิจารณาร่วมกันทั้งหมด ความน่าเชื่อถือของพระสมเด็จฯองค์ต้นแบบนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นเหมือนการติดกระดุมเม็ดแรก ถ้าต้นแบบไม่น่าเชื่อถือหรือมีความน่าเชื่อถือน้อยเสียแล้ว กระบวนการพิสูจน์พระสมเด็จฯต่างๆ ที่ตามมาย่อมขาดความน่าเชื่อถือตามไปด้วยเช่นกัน
...
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่าแนวทางกำหนดพระสมเด็จฯต้นแบบดังที่กล่าวมานี้ ยังสามารถนำไปปรับใช้กับพระเครื่องชนิดอื่นๆ อีกได้ด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าพระที่ท่านกำลังถกเถียงกัน อาจจะเป็นพระแท้ทั้งคู่ก็เป็นได้ ถ้ามีพยานหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระองค์ปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์เศียรบาตรอกครุฑ ที่งดงามมากองค์หนึ่ง มีคราบขี้กรุค่อนข้างหนาปกคลุมองค์พระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านบนพระเศียรปรากฏคราบขี้กรุคล้ายหนังกระเบน บนเข่าขวาองค์พระปรากฏคราบขี้กรุคล้ายขี้มอด มีวรรณะสีน้ำตาล ซึ่งมักเป็นวรรณะของคราบขี้กรุพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีเอกลักษณ์ของพิมพ์ทรงคือ จะไม่มีเส้นซุ้มด้านล่าง มีความคมชัด ขอบพระไม่ปรากฏขอบปลิ้นชัดเจนนัก ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ ด้านล่างปรากฏคราบคล้ายขี้มอดผสมดินในกรุสีน้ำตาลเข้ม มีริ้วรอยยับย่น เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์
อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม
...