พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น อาจจะไม่ได้ถูกสร้างจากแม่พิมพ์ที่แกะพิมพ์พระโดยช่างเพียงคนเดียว หรือโดยช่างสกุลเดียว มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า พระสมเด็จฯนั้นอาจจะถูกสร้างโดย ช่างกลุ่มอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่พบเห็นในขณะนี้ ต้องบอกว่าพระสมเด็จฯกลุ่มที่ยึดถือกันว่าเป็นพระสมเด็จฯต้นแบบ ที่สร้างโดยกลุ่มช่างหลวงหรือช่างทองหลวง (ตรียัมปวาย บอกว่าเป็นหลวงวิจารณ์เจียรนัย) นั้นมีระดับความน่าเชื่อถือมากที่สุดว่าเป็นพระสมเด็จฯที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จริง
อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ถ้าว่ากันตามหลักการพิสูจน์หลักฐานแล้ว ไม่สามารถสรุปได้ว่าพระสมเด็จฯที่มีลักษณะแตกต่างจากพระสมเด็จฯต้นแบบนั้น เป็นพระสมเด็จฯที่ไม่แท้ พระสมเด็จฯที่สร้างโดยช่างกลุ่มอื่นนั้น อาจมีอัตลักษณ์เชิงช่างหรือเรียกว่ามีเส้นสายลายเซ็นที่แตกต่างกันออกไปบ้าง มีองค์ประกอบบางอย่างไม่ครบถ้วนหรือไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์พระสมเด็จฯกลุ่มต้นแบบนัก ไม่ว่าจะเป็นอัตลักษณ์ด้านพิมพ์ทรงหรือเนื้อหามวลสารหรืออัตลักษณ์อื่นๆ แต่ก็อาจจะมีลักษณะบางอย่างที่สอดคล้องกันกับพระสมเด็จฯต้นแบบของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้ด้วยเช่นกัน
...
พระสมเด็จฯที่มีลักษณะแตกต่างออกไปนี้ ย่อมมีระดับความน่าเชื่อถือน้อยกว่า พระสมเด็จฯที่ปรากฏอัตลักษณ์ครบถ้วนสอดคล้องกับพระสมเด็จฯต้นแบบ เนื่องจากพยานหลักฐานที่นำมาสนับสนุนอาจจะมีระดับความน่าเชื่อถือลดหลั่นกันไป องค์พระสมเด็จฯจึงมีระดับความน่าเชื่อถือหรือระดับความแท้ได้หลายระดับเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปคือการที่จะบอกว่าพระสมเด็จฯองค์ไหนมีระดับความแท้มากหรือน้อยแค่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับว่า ระดับความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานที่นำมาสนับสนุนนั้นมีอยู่มากหรือน้อยเพียงใดนั่นเอง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ที่ได้เคยนำเสนอไปบ้างแล้ว
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตหยิบยกเนื้อหาเรื่องหลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ของอาจารย์สหรัฐ กิติ ศุภการ ผู้พิพากษา จากหนังสือ “หลักและคำพิพากษา Legal Principle and Judgments กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน คดีแพ่ง/ คดีอาญา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 (พ.ศ. 2566) มาเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษา ดังต่อไปนี้
“การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน”
“มาตรา 104 ให้ศาลมีอำนาจเต็ม ในอันที่จะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอ ให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามนั้น
ในการวินิจฉัยว่าพยานบอกเล่าตามมาตรา 95/1 หรือบันทึกถ้อยคำที่ผู้ให้ถ้อยคำมิได้มาศาลตามมาตรา 120/1 วรรคสามและวรรคสี่ หรือบันทึกถ้อยคำตามมาตรา 120/2 จะมีน้ำหนักให้เชื่อได้หรือไม่เพียงใดนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดยคำนึงถึงสภาพ ลักษณะและแหล่งที่มาของพยานบอกเล่าหรือบันทึกถ้อยคำนั้นด้วย”
อาจารย์สหรัฐ กิติ ศุภการยังกล่าวด้วยว่า “การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ไม่มีกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์ไว้เฉพาะ จะมีก็แต่เพียงการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องบางประเภทเท่านั้น ที่กฎหมายบัญญัติกฎเกณฑ์ไว้กว้างๆ ในมาตรา 104 วรรคสอง ดังนั้น ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั่วๆไป จึงเป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจโดยแท้ ซึ่งผู้พิพากษาต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ หลักเหตุผล ฯลฯ ประกอบกันเพื่อค้นหาความจริงจากพยานหลักฐานนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีทางหาได้อยู่แล้ว หากศาลเชื่อฟังว่าเป็นความจริงได้ ก็ถือว่าพยานหลักฐานนั้นมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หากมีน้ำหนักน่าเชื่อถือไปจนถึง มาตรฐานที่ต้องพิสูจน์แล้ว ศาลก็ต้องพิพากษาให้เกิดผลแพ้ชนะกัน
ซึ่งในคดีแพ่งและคดีอาญา หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า “มาตรฐานการพิสูจน์” จะมีความแตกต่างกัน กล่าวคือในคดีแพ่งนั้น ศาลจะชั่งน้ำหนักว่าฝ่ายโจทก์หรือจำเลย ฝ่ายไหนจะมีน้ำหนักดีกว่ากัน โดยอิงจากภาระการพิสูจน์เป็นหลัก หากมีน้ำหนักเท่ากันจนไม่สามารถที่จะทำให้ศาลเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นไปในทางใดทางหนึ่ง ก็ต้องถือว่าคู่ความฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์นำสืบไปไม่ถึงมาตรฐานที่จะชนะคดีได้ ก็ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี
...
แต่ในส่วนคดีอาญา ศาลก็ต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์จนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น หากมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ศาลก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227”
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ในการพิจารณาพระสมเด็จฯนั้น พยานหลักฐานบางส่วนที่นำมาใช้ยืนยันพระสมเด็จฯต้นแบบ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบันทึกคำบอกเล่าของผู้ที่ได้เคยสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) ศิษย์ใกล้ชิดของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ได้รู้เห็นข้อมูลโดยตรงจากการที่ท่านมีชีวิตอยู่ทันท่านเจ้าประคุณฯ หรืออาจถือได้ว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) เป็นประจักษ์พยานนั่นเอง อย่างไรก็ตามบันทึกคำบอกเล่าดังกล่าวยังถือว่าเป็นพยานบอกเล่า ซึ่งต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
อย่างไรก็ตามบุคคลที่ให้ข้อมูลดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ รวมถึงผู้ที่รวบรวมข้อมูลดังกล่าวมาจัดทำเป็นหนังสือยังเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถืออีกด้วย เช่นดังที่ปรากฏในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องเล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย ที่ได้รวบรวมเอาบันทึกคำบอกเล่าของผู้ที่เคยสัมภาษณ์ ท่านเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) หลายๆท่านมาเรียบเรียงไว้อย่างน่าสนใจ มีความสมเหตุสมผล และที่สำคัญยังมีความสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่พบเจอในภายหลัง เช่นจากการพบวัตถุพยาน คือพระสมเด็จวัดระฆังฯ และพระสมเด็จวัดเกศไชโย ในกรุพระเจดีย์ใหญ่วัดบางขุนพรหม หรือการพบพระสมเด็จฯในบริเวณใกล้เคียงวัดไชโยวรวิหาร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตทั้งสิ้น
น่าสนใจว่า พระสมเด็จฯนั้นสามารถกำหนดระดับความน่าเชื่อถือหรือระดับความแท้ ตามระดับความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานประเภทต่างๆ ที่นำมาพิสูจน์พระสมเด็จฯ ได้หรือไม่อย่างไร
...
น้ำหนักของพยานหลักฐานบอกระดับความแท้พระสมเด็จฯ
เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องการพิสูจน์พระสมเด็จฯตามระดับความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอทฤษฎีทางกฎหมายลักษณะพยาน เรื่อง “หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน” หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า “มาตรฐานการพิสูจน์” ของ อาจารย์สหรัฐ กิติ ศุภการ ผู้พิพากษา ที่ได้อธิบายไว้ดังนี้
“เกณฑ์มาตรฐานการพิสูจน์ หมายถึง ระดับของความน่าจะเป็นไปได้ของข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริงหรือไม่ ในทางวิชาการ จะแบ่งเป็น 5 ระดับได้แก่
(1) การพิสูจน์ให้เห็นถึงเหตุอันมีพยานหลักฐานเพียงพอ
(2) การพิสูจน์ให้เห็นถึงมูลคดี
(3) การพิสูจน์ให้เห็นถึงพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่า
(4) การพิสูจน์ให้เห็นว่าพยานหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างชัดเจน
(5) การพิสูจน์ให้เห็นว่าพยานหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยตามสมควร หรือปราศจากเหตุอันควรสงสัย
...
มาตรฐานการพิสูจน์ในคดีแพ่งนั้น คู่ความทั้งสองฝ่ายจะต้องพิสูจน์จนถึงระดับ 3 (แต่มีคดีแพ่งบางประเภท ที่ผลของคดีมีผลกระทบกระเทือนต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องมาก ก็อาจจะต้องพิสูจน์จนถึงระดับ 4)
ในส่วนคดีอาญาต้องใช้มาตรฐานพิสูจน์ขั้นสูงสุดถึงระดับ 5 เนื่องจากคดีอาญาเกี่ยวข้องกับชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพของบุคคล”
อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยให้ความเห็นไว้ว่า หนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย ที่ตีพิมพ์ในครั้งแรกๆ นั้นได้เคยลงภาพพระสมเด็จฯพิมพ์พิเศษเช่นองค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้เช่นกัน แต่ฉบับพิมพ์ครั้งต่อๆมาได้นำออก ก็อาจจะเนื่องด้วยท่านผู้แต่งได้พยานหลักฐานใหม่ๆมาทำให้มีการสรุปพิมพ์พระใหม่ก็เป็นได้
บทส่งท้าย
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า การพิจารณาระดับความแท้ของพระสมเด็จฯตามระดับความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น น่าที่จะสามารถนำ “หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน” หรือ “เกณฑ์มาตรฐานการพิสูจน์” ดังกล่าวมาปรับใช้ได้ โดยที่ผ่านมามีการอ้างถึงพยานหลักฐานต่างๆมากมายหลายประเภทมาสนับสนุนยืนยันความแท้ของพระสมเด็จฯ ซึ่งถ้าว่าตามตามทฤษฎีในทางนิติศาสตร์แล้ว พยานหลักฐานต่างๆดังกล่าว อาจมีระดับความน่าเชื่อถือที่ไม่เท่ากัน ถ้าสามารถระบุถึงระดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวได้ ก็น่าที่จะนำไปสู่การกำหนดระดับความแท้ของพระสมเด็จฯที่กำลังพิจารณาได้เช่นกัน โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
การเล่นหาพระสมเด็จฯในปัจจุบันนั้น มีการยึดถือกันว่า ถ้าไม่เหมือนกับที่เคยเล่นหา ถือว่าไม่แท้ ในความเป็นจริงแล้วพระแท้ของเจ้าประคุณสมเด็จโต น่าจะยังมีอีกมากที่รอพยานหลักฐานมายืนยัน ถ้าหลักฐานยิ่งน่าเชื่อถือก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือในองค์พระ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าการเล่นหาพระสมเด็จฯ รวมถึงพระเครื่องต่างๆ คงจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงของพยานหลักฐานที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง เหมือนกับหลักการพิสูจน์หลักฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการหาข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับในสังคม
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์ทรงเจดีย์ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ซุ้มมีขนาดเล็กกว่าของวัดระฆังฯด้านบนติดไม่เต็ม มีความคมชัดพอสมควร เนื้อแก่ปูน มีวรรณะออกน้ำตาลอ่อน มีคราบขี้กรุปกคลุมโดยทั่วไปทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ มีตราประทับสีออกม่วงของทางวัดที่มีการประทับเมื่อคราวเปิดกรุอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2500 ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นโดยทั่วไป ด้านหน้าเห็นรอยขอบปลิ้นเล็กน้อยด้านซ้ายมือองค์พระ ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์