ประเด็นฮิตติดลมและน่าจะเป็นที่ถกเถียงไปอีกนาน ในเรื่องของพระเหรียญทองคำ หลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ พิมพ์ไม่ผ่าปาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ขอบข้าง” โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่า การหาคำตอบในเรื่องนี้นั้นสามารถใช้หลักการพิสูจน์หลักฐานมาช่วยได้ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งสี่ประเภทคือ พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานผู้เชี่ยวชาญ ตามแนวทางที่ได้เคยนำเสนอไปบ้างแล้ว อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโส เคยกล่าวไว้ว่า พระเครื่องนั้นมีอายุยาวนานกว่าอายุคน วันหนึ่งข้างหน้า พระเครื่องยังอยู่ คนรุ่นลูกรุ่นหลานจะเป็นคนตัดสินเองว่าความจริงเป็นอย่างไร
น่าสนใจว่า “ขอบข้าง” ของพระสมเด็จฯแท้นั้น มีลักษณะเป็นอย่างไร มีน้ำหนักต่อการตัดสินความเป็นพระแท้มากน้อยแค่ไหน “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของ “ขอบข้าง” นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจเรื่องขั้นตอนวิธีการสร้างพระสมเด็จฯด้วยเช่นกัน
การสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯนั้นเป็นงานพุทธศิลปกรรมปูนปั้นที่เกิดจากการนำเอาวัตถุดิบซึ่งประกอบด้วยปูนขาวหรือปูนเปลือกหอย มวลสารผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆตามคติการสร้าง รวมถึงวัสดุที่ทำหน้าที่ประสานเนื้อวัตถุดิบ นำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ปั้นเป็นก้อนแล้วจึงกดประทับลงบนแม่พิมพ์เพื่อขึ้นรูปพระ โดยก่อนที่จะกดน่าจะต้องมีการโรยหรือทาแม่พิมพ์ด้วยวัสดุที่ทำให้เนื้อวัตถุดิบไม่เกาะติดกับแม่พิมพ์เพื่อให้ถอดองค์พระออกจากแม่พิมพ์ได้โดยง่าย ตรียัมปวายเรียกว่า แป้งโรยพิมพ์ ซึ่งต่อมาทำให้เกิดเป็นลักษณะของรอยเหนอะบนเนื้อพระ (อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ให้ความเห็นว่า รอยเหนอะดังกล่าวอาจเกิดจากการที่น้ำปูนถูกขับออกมาจากเนื้อพระในขณะที่มีการกดแม่พิมพ์ได้เช่นกัน) มีความเป็นไปได้ด้วยว่าในขั้นตอนการขึ้นรูปพระนั้น เป็นการนำเอาแม่พิมพ์กดลงบนเนื้อพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม การกดแม่พิมพ์ลงบนเนื้อพระนี้น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดขอบปลิ้นด้านหน้าพระ ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อพระถูกดูดติดขึ้นมากับแม่พิมพ์ขณะที่มีการยกแม่พิมพ์ขึ้นจากเนื้อพระ (นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ ตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น มักจะแอ่นตัวขึ้นในลักษณะที่บริเวณตรงกลางด้านหลังองค์พระอยู่ต่ำกว่าด้านข้างซึ่งสอดคล้องกับวิธีการขึ้นรูปพระแบบกดแม่พิมพ์ลงบนเนื้อพระ ส่วนพระสมเด็จวัดระฆังฯนั้นมักพบการแอ่นตัวในทิศทางตรงกันข้ามซึ่งเป็นลักษณะที่เกิดจากถอดองค์พระออกจากแม่พิมพ์ที่ต้องค่อยๆงัดจากด้านข้างองค์พระ ทำให้เป็นลักษณะของการห่อตัวโดยบริเวณตรงกลางด้านหน้าองค์พระจะอยู่ต่ำกว่าบริเวณด้านข้าง)
...
จากนั้นจึงทำการตัดขอบให้เป็นลักษณะตามที่ต้องการคือเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ให้ความเห็นว่า การตัดขอบมีสองลักษณะหลักๆ โดยอาจจะเป็นการตัดจากด้านหลังไปด้านหน้าองค์พระ โดยตัดขณะที่ยังไม่แกะพระออกจากแม่พิมพ์ การตัดแบบนี้อาจจะทำให้ตัดได้ไม่สวยงามนัก อาจชิดไปหรือห่างไปเนื่องจากไม่เห็นองค์พระขณะตัด และอาจทำให้เกิดรอยปริด้านหลังขนานเป็นแนวยาวกับขอบพระ (รอยปูไต่) หรืออาจจะเป็นการตัดขอบจากด้านหน้าไปด้านหลังกรณีที่แกะพระออกจากแม่พิมพ์แล้วก็ได้
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาจากข้อเขียนของ ตรียัมปวาย ที่ได้พูดถึงลักษณะขอบด้านข้างพระสมเด็จฯไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 โดยแบ่ง ริ้วรอยสัญลักษณ์ทางด้านข้าง ไว้เป็น 3 ลักษณะ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาดังต่อไปนี้
1. แนวดิ่งของขอบ คือลักษณะแนวดิ่งทั้งสี่ด้าน เนื่องจากเป็นการตัดลงตรงๆ (เป็นลักษณะของพระสมเด็จวัดระฆังฯ) ... อีกลักษณะหนึ่งคือการตัดสอบลงล่าง (พื้นที่ด้านหลังกว้างยาวกว่าด้านหน้า) มีปรากฏบ้างสำหรับองค์ที่มีสัณฐานค่อนข้างบาง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นของกรุบางขุนพรหม สำหรับการตัดแทยงไปทางหนึ่งทางใดก็มีปรากฏเป็นส่วนน้อยเช่นเดียวกัน ตรงข้ามกับพระนางพญาซึ่งมีพบมากที่สุด
2. รอยเส้นตอกตัด อาจสันนิษฐานได้ว่า พระสมเด็จฯ ได้รับการตัดกรอบด้วยเส้นตอก ทำนองเดียวกับพระเครื่องโบราณ (อย่างไรก็ตาม มีผู้ชำนาญการท่านอื่นบอกว่าอาจเป็นการตัดโดยของมีคมประเภทอื่น เช่น มีด ได้เช่นกัน) ... แต่มีลักษณะแผ่วเบาและค่อนข้างรางเลือน นอกจากองค์ที่เนื้อแกร่งจัดๆ และได้รับรอยเส้นตอกประทับไว้ชัดเจนแต่เดิม ก็จะปรากฏร่องรอยคมชัด ไม่แพ้พระเนื้อดินเผาโดยทั่วไป รอยเส้นตอกตัดของขอบทั้งสอง มักจะเป็นแนวเฉียงขึ้นไม่มากก็น้อย คือเป็นแนวปาดจากส่วนบนขึ้นไปทางส่วนล่าง (จากบริเวณองค์พระปฏิมาไปทางพระอาสนะ) เป็นส่วนมาก การตัดเฉียงลงลักษณะตรงข้ามกับที่กล่าวก็มีปรากฏแต่เป็นส่วนน้อย และแนวเส้นตอกระดับซึ่งขนานไปกับด้านขอบก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งมักจะเป็นรอยปาดเรียบๆ ปราศจากริ้วร่องรางซึ่งหมายถึงการตัดด้วยก้านผิวของเส้นตอก ตรียัมปวายบอกด้วยว่า ในการพิจารณาสัญลักษณ์รอยเส้นตอกตัด จะต้องถือหลักการว่า การไม่ปรากฏรอยเส้นตอกเลยก็ดีหรือริ้วรอยรางเลือนมากก็ดีย่อมมีโอกาสเป็นของจริงยิ่งกว่าการปรากฏอย่างเด่นชัดเกินไป
3. แอ่งเล็กๆและรูพรุนปลายเข็ม พระสมเด็จฯบางองค์ของวัดระฆังฯอาจมีแอ่งเล็กๆ และรอยพรุนตื้นๆเป็นบางตอน ขอบด้านข้างทั้งสี่ทำนองเป็นริ้วรอยแตกระแหงเป็นช่วงสั้นๆ ซึ่งอาจมีเมล็ดมวลสารเหลืองหม่นๆและเมล็ดผงใบลานเผาดำๆ แทรกเป็นบางตอน และถ้าเป็นพระที่ผ่านการใช้มาแล้วก็อาจมีวัตถุวรรณะดำแกมน้ำตาล จับอยู่ตามร่องรอยนั้นๆ ลักษณะคล้ายเป็นเถ้าไคลและฝุ่นผง ซึ่งจับอยู่เป็นเวลานานๆนับสิบปี ตรียัมปวายบอกด้วยว่าถ้าเป็นรอยแตกแยกเป็นโพลงเขื่อง หรือรอยแตกอ้าลึก ผิดวิสัยที่จะเป็นริ้วรอยธรรมชาติของเนื้อปูนปั้น ฯลฯ จะเป็นลักษณะของปลอม
พ.ท.ศุภชัย ศรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ อีกท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึงลักษณะขอบข้างและร่องรอยพิเศษ ของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ไว้ในหนังสือมหาโพธิ์ ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๗ ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ “พระสมเด็จวัดระฆัง ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ใด เนื้อใดก็ตาม การตัดขอบข้างโดยคนกดพิมพ์พระในสมัยโน้น ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าต้องใช้มีดหรือโลหะมีคมตัด เพราะจากร่องรอยที่ทิ้งฝากไว้ ส่วนมากขอบด้านข้างจะเรียบ ชนิดที่ขอบข้างเป็นลายเส้นทางๆ บางคนบอกว่าใช้เส้นตอกไม้ไผ่ตัด แต่ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่าลายเส้นเป็นทางๆอย่างว่า เกิดจากภายในเนื้อพระมีวัสดุที่ไปขวางใบมีดที่ตัดพาลากเนื้อให้เป็นทาง เช่นเดียวกับพระนางพญา ตัวตัดไปเจอเอาเม็ดกรวดทรายลากไปเป็นทางเลยเข้าใจว่าเอาเส้นตอกตัด จึงได้เรียกร่องรอยที่เกิดด้านข้างองค์พระนี้ว่า “รอยเส้นตอกตัด” มาจนทุกวันนี้ ถ้าท่านเป็นคนช่างสังเกต ดูด้านข้างองค์พระทั้ง 4 ด้านตามแนวนอนให้ขนานกับขอบฟ้า จะพบร่องรอยพิเศษ สิ่งบอกเหตุบางสิ่งบางอย่างแก่เราได้ คือส่วนกลางของความหนาจะมีลักษณะยุบตัวลงไปเล็กน้อย (ในกรณีที่ขอบข้างองค์พระเรียบ) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เกิดจากพระมีอายุ เนื้อพระมีความแห้งมีความเก่าจะยุบตัวลง พระที่พิมพ์เนื้อหมาดๆ จะยุบตัวน้อย พระที่พิมพ์เนื้อเปียกเหลวหน่อยจะยุบตัวมาก หลักการอันนี้นำไปใช้กับพระเนื้อดินหรือเนื้อผงอย่างอื่นได้ในกรณีที่เป็นพระเก่า การยุบตัวนี้จะเกิดเพียงด้านเดียว หรือหลายด้านก็ได้ไม่แน่นอน แต่ถ้าเป็นพระใหม่อายุน้อยอยู่จะไม่มีลักษณะที่ว่า”
...
เรื่องการเกิดการยุบตัวเป็นแนวยาวตรงร่องกลางขอบข้างที่มักพบในพระสมเด็จฯ นี้ตรงกับความเห็นของ นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯอีกท่านหนึ่ง นักเขียนประจำคอลัมน์ “ดูแบบเซียน” นิตยสารพรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ด้วยเช่นกัน
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตตั้งข้อสังเกตว่า การที่บริเวณขอบข้างองค์พระมักมีการยุบตัวเป็นร่องแอ่งตรงกลางตามแนวยาวนั้น อาจเกิดจากการที่ในขั้นตอนการสร้างนั้น บริเวณขอบข้างไม่ได้รับกดโดยตรงเหมือนกับบริเวณพื้นผิวด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ โดยในขณะที่กดเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์ (อาจจะกดผ่านไม้กระดาน) หรือกดแม่พิมพ์ลงบนพระก็แล้วแต่ (เช่นเนื้อพระวางบนแผ่นกระดาน) เนื้อพระจะมีการไหลออกทางด้านข้างจากแรงกดหรือแรงต้านที่กระทำบนด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ เนื้อบริเวณนี้จึงไม่ได้ถูกบีบอัดให้แน่นตัวเหมือนกับบริเวณด้านหน้าองค์พระที่สัมผัสกับผิวแม่พิมพ์ (ที่เกิดการแน่นตัวจากแรงบีบอัดมากที่สุด) หรือบริเวณด้านหลังองค์พระ (เกิดการแน่นตัวจากการบีบอัดรองลงมา) ส่วนขอบข้างจะมีแรงกระทำเป็นลักษณะแรงเฉือนจากใบมีดหรือตอกตัด การที่เนื้อบริเวณขอบข้างนี้ไม่แน่นตัวนักจึงเกิดการยุบตัวได้ง่ายกว่าอีกสองด้านโดยจะเกิดบริเวณร่องตรงกลางของขอบข้างก่อนซึ่งเป็นบริเวณที่แน่นตัวน้อยที่สุด
บทสรุป
การทำความเข้าใจเรื่อง “ขอบข้าง” ของพระสมเด็จฯจากความเห็นของครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่านนั้นเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาพระสมเด็จฯ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ลักษณะของขอบข้างนั้นมี “น้ำหนักในทางพิสูจน์หลักฐาน” ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อประกอบกับองค์ความรู้ในด้านอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมวิธีการสร้างแล้ว น่าจะช่วยให้มีโอกาสเข้าถึงพระสมเด็จฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้มากขึ้น
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีคราบรักเก่าคล้ายรักน้ำเกลี้ยงปรากฏทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ ไม่ปรากฏการแตกลายงาเนื่องจากเป็นเนื้อหนึกนุ่มปานกลาง มีวรรณะขาว มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบชิดด้านซ้ายมือองค์พระเห็นเส้นกรอบแม่พิมพ์เล็กน้อย ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นทั้งสี่ด้านพอประมาณ แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
...
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์