หลายครั้งที่การปฏิบัติมาติดขัดอยู่กับความคิดสงสัยว่า...ถ้ากายใจไม่ใช่ตัวตนแล้วตกลงเราเป็นอะไร? ผ่านไม่ได้ก็เจริญสติต่อไม่ได้...หากเห็นความสงสัยโดยความเป็นของไม่เที่ยงไม่ได้ก็ต้องอาศัยการพิจารณาโดยแยบคายเข้าช่วย
เดิมที...ไม่มีเรามาแต่แรก ไม่ได้มีอัตตาไหน อยู่ก่อนแล้ว จะมีอยู่จริงก็แต่อุปาทาน...อุปาทานว่า มีตัวเรามีของเราอยู่เป็นขณะๆ ที่ต้องบอกว่ามีอยู่แต่ “อุปาทานเป็นขณะๆ” ก็เพราะอุปาทานในแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน... อุปาทานว่ามีตัวตนเป็นเด็กต่างกันมากจากอุปาทานว่ามีตัวตน
เป็นผู้ใหญ่
เห็นต่างกัน คิดต่างกัน ตัดสินใจต่างกัน...เป็นคนละคนกัน บางทีราวกับเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อุปาทานว่ามีตัวตนยึดมั่นอุดมการณ์ข้างไหน ต่างกันกับตัวตนฝ่ายตรงข้ามเป็นคนละฝั่ง
แต่ท้ายสุดเมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อประจักษ์บางสิ่งก็คลี่คลาย กลายร่างเป็นข้างตรงข้าม ง่ายๆในชั่วข้ามวันข้ามคืน แต่ทุกข้างอาศัยโทสะโมหะแบบเดิมๆอยู่นั่นเอง
โทสะโมหะที่บีบให้สำคัญไปว่ามีข้างที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด เป็นพระเอกที่สุดหรือใกล้ตัวที่สุด ติดตัวที่สุด อุปาทานว่ากำลัง “มีตัวเราหายใจอยู่” ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาชี้ให้มองตามพระองค์ว่าลมหายใจนี้ มีออก มีเข้า มียาว มีสั้น...เมื่อมองตามท่านชี้แค่ไม่กี่นาที กระทั่งจิตแปรจากคิดฟุ้งเป็นนิ่งรู้ สว่างแจ้ง
จึงค่อยเห็นตามจริงว่า...ไม่เคยมีเราหายใจมีแต่ร่างกายเป็นเครื่องผ่านลมเข้าและเป็นที่ระบายลมออก ไม่เคยมีลมหายใจซ้ำชุดกันตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งก็ไม่ต่างจากภาวะทางกายอื่นๆ เช่น หลังตรงบ้าง หลังงอบ้าง กล้ามเนื้อเกร็งบ้าง ผ่อนคลายเนื้อตัวบ้าง แล้วก็ไม่ต่างจากภาวะทางใจอื่นๆ
เช่น สบายใจบ้าง อึดอัดใจบ้าง สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง แต่ทั้งๆที่รู้อยู่อย่างนั้นก็ไม่ใช่จะสลัดอุปาทานกันง่ายๆ ต้องอาศัยเวลา ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปีจดจ่อรู้จดจ่อดูความไม่เที่ยงทั้งหลายจนกว่าจะตกผลึก...จิตแปรเป็นความสว่างรู้ที่ไร้ตัวตน เลิกคิด เลิกฟุ้งซ่าน เลิกลังเลสับสน
...
เห็นภาวะทั้งหลายในกายใจเป็นแค่เครื่องคุมขัง
แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดสงสัยก็เป็นแค่พันธนาการด่านหนึ่ง กระทั่งเกิดความวางเฉย ไม่ถูกอุปาทานเกาะกุมนั่นเอง! จึงเกิดความรู้เป็นขณะๆว่าตัวเราคืออนัตตา ที่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นอนัตตา รู้แล้วว่าจะพ้นจากอนัตตาอันเป็นทุกข์ได้อย่างไร! Cr. “Dungtrin” 5/5/2025
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2308 หลังกรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่ารุกคืบอย่างไม่หยุดยั้ง ชาวบ้านเล็กๆกลุ่มหนึ่งในตำบลบางระจันไม่ยอมอพยพหนีภัยศึก หากรวมใจก่อตั้งแนวต้านด้วยอาวุธพื้นบ้านใต้การนำของผู้นำชาวบ้าน เช่น นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ ขุนสรรค์ พันเรือง และอีกหลายราย พวกเขาไม่ใช่ทหาร...หากเป็นชาวนา ช่างตีเหล็ก พ่อค้าธรรมดา ที่มีเพียงความรักในผืนแผ่นดินเป็นพลังต่อสู้ยืนหยัดได้นานถึง 5 เดือน แม้จะไร้กองหนุนจากกรุงศรีอยุธยา
จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2309 ป้อมบางระจันจึงแตกแต่จิตวิญญาณของพวกเขายังดำรงอยู่เหนือกาลเวลา...“บางระจัน” จึงเป็นมากกว่าเพียงหมู่บ้าน แต่เป็นดินแดนแห่งคำสาปกล้าหาญที่วิญญาณผู้เสียสละยังคงสถิต คนเฒ่าคนแก่ในพื้นที่เล่าขานถึง “เสียงม้า เสียงดาบ เสียงโห่ร้อง” ที่ดังยามใกล้รุ่ง บ้างเล่าว่าเคยเห็นชายแต่งกายโบราณเดินยามค่ำ บนเส้นทางสู่ “วัดโพธิ์เก้าต้น” ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดตั้งค่ายของพวกเขา
“ศาลวีรชนบ้านบางระจัน” ที่ตั้งอยู่ในอุทยานวีรชนวันนี้...จึงไม่ใช่แค่สถานที่ทาง ประวัติศาสตร์แต่เป็น ศาลศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมากราบไหว้ขอพรในยามลำบาก
ศรัทธาผู้คนที่มากราบสักการะขอพรมีมากมายหลากหลายโดยเฉพาะขอเรื่องความกล้าหาญ การฝ่าฟัน และความมั่นคงในหน้าที่การงาน... นักเรียนนายร้อย ทหารเกณฑ์หลายรายเชื่อว่าหากมา กราบศาลก่อนรับราชการจะได้รับพลังใจจากบรรพชน ส่วนชาวบ้านนักธุรกิจก็ขอให้กล้าหาญเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่
...
“สระน้ำศักดิ์สิทธิ์”...หรือที่เรียกกันติดปากว่า “สระน้ำพระอาจารย์ธรรมโชติ” อีกศูนย์รวมศรัทธาที่เกี่ยวโยงกับการ “หาบน้ำแก้บน” ด้วยมีความเชื่อกันว่า ผู้ที่มาบนบาน ศาลกล่าวในที่แห่งนี้แล้ว สำเร็จสมดังหวังปรารถนาก็จะต้องมาแก้บนด้วยการหาบน้ำถวายท่านตามจำนวนหาบที่บนเอาไว้กับท่านพระอาจารย์ฯ
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าช่วงเวลาไหนก็มักจะเห็นมีคนมาหาบน้ำเพื่อแก้บนแทบจะไม่เคยขาด ขันเป็นร้อยๆใบ ไม้หาบอีกนับไม่ถ้วน สะท้อนให้เห็นถึงกระแสศรัทธาได้เป็นอย่างดี
เล่าลือกันว่า...มีบางคนต้องมาแก้บนหาบน้ำถึง 1,000 หาบเลยทีเดียว จะเป็นความสำเร็จในเรื่องใดนั้น ไม่เป็นเรื่องที่บอกกล่าวเล่าต่อๆกันมา แต่ที่แน่ๆคงจะคุ้มเป็นหนักหนากับผลที่ผู้แก้บนได้รับกลับไป
ส่วนใหญ่...ก็จะมาบนกันเรื่องของหาย คนหาย แต่ที่ขึ้นชื่อมากๆก็จะเป็นเรื่องขอให้ลูกชายไม่โดนทหาร...เรื่องดังกล่าวนี้ใครมาก็มักจะสมหวังดั่งใจเสมอ
...
เกิดมาใครไม่ม้วย มีไฉน
บางระจันม้วยสม ศักดิ์ม้วย
ม้วยด้วยเกียรติเกรียงไกร เกริ่นเกริก
ออมยศยอมม้วยด้วย ค่าแพง
สดุดีวีรชนค่ายบางระจัน ณ วัดโพธิ์เก้าต้น รำลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของเหล่าผู้กล้า
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.
รัก–ยม
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม