คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า”...ไม่ใช่แค่ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็น “เกราะธรรม” ที่ครอบคลุมเหนือ “กาย” และ “ใจ” ว่ากันตามศรัทธาความเชื่อแล้วถือเป็นปราการที่ป้องกันภัยทั้งที่เห็นและที่มองไม่เห็น
คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “บทพุทธชัยมงคลคาถา”... มงคล 8 หรือ “พาหุง” เป็นคาถาที่รวมบทสรรเสริญพระพุทธคุณและชัยชนะของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อมาร 8 ประเภท...ทั้งฝ่ายโลกีย์และอมนุษย์ เป็นคาถาที่มีพลังสูงในทางไสยศาสตร์และจิตวิญญาณ
เชื่อกันว่า...ใช้สวดในพิธีต่างๆมาแต่โบราณนานมาแล้ว
กล่าวกันว่าอานุภาพแห่ง “มงกุฎพระ พุทธเจ้า” นั้นคำว่า “มงกุฎพระพุทธเจ้า” มีนัยหมายถึง สิ่งสูงสุดที่ประดับบนเศียรแห่งพุทธบารมี จึงมีความเชื่อว่า การสวดหรือบูชาคาถานี้เปรียบเสมือน “เอามงกุฎธรรม” วางไว้เหนือเศียรของผู้สวด ทำให้มีสิริมงคล คุ้มภัย พ้นเคราะห์ ป้องกันภูตผีปีศาจและศัตรู
อานุภาพสำคัญของคาถานี้ ได้แก่ ป้องกันคุณไสย ภูตผี มารร้าย...ปกปักรักษา เดินทางปลอดภัย...เสริมบารมีเมตตาและสงบจิตใจ...แคล้วคลาด คงกระพัน
...
คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” อาจไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎกแต่อยู่ใน “หัวใจของคนที่เชื่อ” เป็นร่มโพธิ์แห่งความมั่นคงทางจิต เป็นเกราะแห่งศรัทธาในยามที่โลกสั่นคลอน
“เพราะบางครั้ง…เราอาจไม่มีอาวุธใดในมือนอกจากบทคาถาเล็กๆที่เปล่งจากปาก แต่ส่งแรงศรัทธาไปไกลถึงฟ้า”
ในโลกแห่งไสยศาสตร์และพุทธคุณ คาถาบางบทมิได้เป็นเพียงคำท่อง หากแต่กลายเป็น “โล่แห่งใจ” ที่ผู้คนยึดถือในยามเผชิญวิกฤติ คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” คือหนึ่งในบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่แทรกตัวอยู่ในความเชื่อของชาวพุทธไทยมายาวนาน
แม้ไม่มีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยตรง แต่ในวิถีชาวบ้านกลับมีเรื่องเล่า ตำนาน และประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับคาถาบทนี้ ที่บอกเล่าถึงพลังอำนาจเหนือธรรมดา ทั้งด้านป้องกันภัย แคล้วคลาด คุ้มครอง เมตตาและปราบอาถรรพณ์
คาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” เชื่อศรัทธากันว่าเป็นคาถาเก่าแก่ที่ถูกเรียกขานในสายวิปัสสนาธุระและพระกรรมฐานตั้งแต่สมัยพุทธกาลหรืออย่างน้อยก็ในยุคกรุงศรีอยุธยา โดยมีการถ่ายทอดกันปากต่อปากจากพระเกจิอาจารย์สายอีสานและภาคเหนือ โดยเฉพาะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และ
สายหลวงปู่เสาร์
ซึ่ง...มีการนำคาถานี้ไปใช้ในระหว่าง การภาวนาในป่า
ในบันทึกของพระสายวัดป่าหลายรูปเล่ากล่าวกันไว้ว่า ในอดีตหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เคยแนะนำให้สาธุชนสวด “มงกุฎพระพุทธเจ้า” ก่อนเดินธุดงค์ โดยบอกว่า “หากภาวนาใจมั่น อันตรายทั้งหลายไม่อาจแทรกได้”
อีกตำนานหนึ่งจากจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวไว้ว่า มีชายผู้หนึ่งถูกของแปลกจนป่วยหนักเดินทางไปรักษาทั่วประเทศไม่หาย จนในที่สุดได้รับคาถาบทนี้จากพระเกจิรูปหนึ่ง และนั่งภาวนาจริงจังทุกวัน
...คืนหนึ่งฝันว่ามีพระพุทธรูปเปล่งแสงจากยอดเศียร จากนั้นอาการเจ็บป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ตัวอย่างคำสวด “มงกุฎพระพุทธเจ้า” ฉบับย่อนิยมใช้ในสายพระเครื่อง “นะโมพุท ธายะ พระพุทธะไตรรัตนะญาณ มหาบารมี มหากรุณา มหากุศล พระพุทธเจ้าปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้าพุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา มะอะอุ นะโมพุทธายะ”
นิยมสวด 3 จบ, 7 จบ หรือ 9 จบ ก่อนออกจากบ้าน เดินทาง หรือก่อนนอน โดยเฉพาะผู้ที่แขวน พระ หรือผู้ปฏิบัติกรรมฐาน จะใช้บทนี้เป็นเกราะแห่งใจ...หรือจุดธูป 5 ดอกหน้าพระ หากต้องการขอพรเฉพาะหากอยู่ในที่อับหรือเดินทางกลางดึกให้ตั้งจิตมั่น แล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้า พร้อมภาวนาคาถา 1 จบก่อนก้าวเดิน
...
ผู้ที่หมั่นสวดบทนี้อย่างสม่ำเสมอ จะมี “พุทธคุณคุ้มภัย”
ถัดมา...บทคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” (ฉบับนิยม) ....“อิติปิโส ภะคะวา ยาหะ สะวาหะพุทธัง มะหาเตชัง ธัมมัง มะหาเวทยัง สังฆัง มะหาโพธิ อิติปิโส จะตุโลกะวิทู มงคลมุนี นามะเต อะหัง วันทามิ สัพพะโส”
ความเชื่อด้านพุทธคุณ...ป้องกันภัยและอาถรรพณ์ ชาวบ้านมักสวดบทนี้เมื่อเดินทางไกล นอนป่าช้า หรือพบเหตุไม่ปกติ เช่น เจอวิญญาณ เห็นเงา หรือฝันร้าย เชื่อว่าสามารถป้องกัน “คุณไสย เสนียดจัญไร ภูตผี” ได้อย่างอัศจรรย์...แคล้วคลาด คงกระพัน นักรบไทยในอดีตและสายพระป่ากรรมฐานมักสวดก่อนเข้าสมาธิ หรือก่อนเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงภัย...เมตตามหานิยม ใช้สวดภาวนาเพื่อขจัดความขุ่นเคือง เจรจาติดต่อให้สำเร็จ
เสริมพลังจิตให้คนเมตตารักใคร่...ตอกย้ำ “พลังภาวนาในวิกฤติ” มีผู้นำคาถานี้สวดเมื่อต้องรักษาตัวจากโรคหนัก ภาวนาในห้องไอซียู หรือในช่วงใกล้สิ้นลมหายใจ
เพื่อเป็นพลังยึดเหนี่ยวจิต ไม่ให้หวั่นไหวในความตาย...“หากใจเราตั้งมั่นในพระรัตนตรัยต่อให้พายุชีวิตหนักแค่ไหน มงกุฎธรรมก็จะป้องหัวใจเราได้เสมอ”
...
“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.
รัก-ยม
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม