ปริมาณของฝุ่น PM 2.5 ที่ยังมีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วไทย นอกจากส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม และผิวพรรณที่ลงลึกถึงระดับเซลล์ของเราแล้ว ยังส่งผลเสียต่อดวงตา หนึ่งในอวัยวะสำคัญของเราอีกด้วย

พญ. อารดา มกรพงศ์ จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา ศูนย์ตา โรงพยาบาลพญาไท 2 ระบุว่าพิษจากฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อดวงตาของเรากว่าที่คิด ซึ่งทำให้เกิดโรคเยื่อบุตาขาวอักเสบ หรือโรคตาแดงเรื้อรัง จนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียแทรกซ้อนเพราะเยื่อบุตาขาวอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดโรคกระจกตาอักเสบ หากเผลอขยี้ตาจะทำให้กระจกตาถลอกได้ง่าย เนื่องจากกระจกตาอ่อนแอ

นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคเยื่อบุตาเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง โดยเฉพาะคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจจะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตาตามมาด้วย เช่น มีอาการตาแดง เคืองตา คันตา เปลือกตาบวม มีขี้ตาเป็นเมือกสีขาว รวมทั้งยังทำให้เกิดอาการตาแห้งอีกด้วย

ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 มากกว่าคนทั่วไป คือ

  1. กลุ่มเด็กเล็ก
  2. กลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว และแน่นหน้าอก
  3. กลุ่มหญิงตั้งครรภ์
  4. กลุ่มผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ที่ตา โรคปอด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้จมูก โรคภูมิแพ้ผิวหนัง และโรคของภูมิต้านทานบกพร่อง

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

สำหรับการดูแลและการป้องกันอันตรายจาก PM 2.5 พญ. อารดา แนะนำไว้ดังนี้

  1. ใส่แว่นตาป้องกันฝุ่นและลมทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร
  2. ใส่หน้ากากอนามัยปิดจมูกและปิดปากทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร หากใช้หน้ากาก N95 ก็จะป้องกันได้ดีกว่าหน้ากากธรรมดา
  3. ใช้สายตา 30 นาทีและพักสายตา และทุกๆ การจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือนานติดต่อกันเกิน 10 นาที ควรพักสายตาเพื่อลดอาการตาแห้ง ปวดตา
  4. หยอดน้ำตาเทียมวันละ 4 ครั้ง ในกลุ่มที่มีอาการตาแห้งอาจหยอดทุก 2 ชั่วโมง
  5. ไม่ควรล้างตาบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตาแห้งมากขึ้น หากต้องการล้างตาให้ใช้น้ำตาเทียมล้างแทน
  6. ดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการตาแห้ง
  7. ทำความสะอาดบ้านให้ปลอดจากฝุ่น ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด
  8. ไม่ควรออกนอกบ้าน หรือทำกิจกรรมนอกบ้านในวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
  9. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักและผลไม้ที่ให้วิตามิน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน หรือกินวิตามินเสริมอย่างวิตามิน C และ E
  10. หากพบว่าตาอักเสบไม่หาย หรือร่างกายมีความผิดปกติควรไปพบแพทย์ ไม่ควรรอให้มีอาการมาก เพราะจะทำให้การรักษายากขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก หรือ WHO (The World Health Organization) ได้จัดให้ PM 2.5 เปรียบเสมือนสารก่อเกิดมะเร็งอย่างหนึ่ง รวมทั้งยังก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ มากมาย เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ มีอันตรายต่อเด็กในครรภ์ โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคผิวหนังอักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคสมาธิสั้นและสมองพัฒนาการช้าในเด็ก หากสูดเข้าปอดเป็นเวลานานหลายปี ก็จะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งปอด และมะเร็งอื่นๆ ได้