“มะเร็งปอด” เกิดจากการที่ร่างกายได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ จนเกิดความผิดปกติของเนื้อปอด การเกิดความผิดปกตินี้จะทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวที่เร็วขึ้นกว่าเซลล์ปกติทั่วไป จนเกิดการพัฒนากลายเป็นมะเร็งขึ้น

จากสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย พบว่า โรคมะเร็งปอดในเพศหญิงและเพศชาย ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโรคมะเร็งทุกชนิด และยังมีอัตราการเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี และมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าโรคหลอดเลือดอีกด้วย

อาการแสดง

อาการแสดงที่พบได้ คือ อาการที่เกี่ยวข้องกับปอดโดยตรง ได้แก่ อาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก เหนื่อย

อาการไม่เฉพาะเจาะจงกับปอดโดยตรง เช่น อาการปวดหลังเรื้อรัง จากการที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่กระดูก อาการอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด มีภาวะซึม จากการที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่สมอง หรืออาการที่ไม่บ่งชี้เฉพาะ เช่น อ่อนเพลีย หรือน้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ

การวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกาย ร่วมกับการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด หากพบว่ามีความผิดปกติ แพทย์ก็จะส่งตรวจเพิ่มเติมโดยการส่งทำซีทีสแกน ซึ่งจะช่วยให้เห็นความผิดปกติที่ชัดเจนมากขึ้น

สำหรับการยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด จะต้องมีการส่งตรวจชิ้นเนื้อร่วมด้วยเสมอ

ระยะของมะเร็งปอด

ก่อนที่จะวางแผนการรักษามะเร็งปอด ต้องประเมินก่อนว่าคนไข้เป็นมะเร็งปอดระยะใด โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 ระยะต้น ตรวจพบก้อนในปอด ยังไม่มีการลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 2 และ 3 ก้อนจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องอก

...

ระยะที่ 4 ระยะลุกลามไปนอกปอด เช่น กระดูก สมอง ต่อมหมวกไต หรือกระจายจากปอดด้านซ้ายไปปอดด้านขวา ซึ่งระยะนี้ การผ่าตัดและการฉายรังสีมักให้ผลได้ไม่ดีนัก การรักษาด้วยยาจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

แนวทางการรักษา

การรักษามะเร็งปอดในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การรักษาแบบเฉพาะที่ และการรักษาด้วยยา

การรักษาแบบเฉพาะที่ ได้แก่ การรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะทำในระยะที่ยังไม่มีการลุกลามเท่านั้น แต่หากไม่สามารถผ่าตัดได้ สามารถพิจารณาการรักษาโดยการฉายรังสี

แนวทางการรักษา

ปัจจุบัน มียาหลัก ๆ 3 ชนิด ได้แก่ ยาเคมีบำบัด ยาพุ่งเป้า และยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยมีแนวทางการรักษา ดังนี้

1. มะเร็งปอดระยะที่ 1 จะรักษาโดยการผ่าตัดเป็นหลัก

2. มะเร็งระยะที่ 2 และ 3 เป็นกลุ่มที่มีความซับซ้อนในการรักษามากขึ้น โดยถ้าเป็นระยะที่ยังสามารถผ่าตัดได้ อาจมีการพิจารณารักษาโดยการให้ยาก่อนแล้วจึงผ่าตัด หรือผ่าตัดก่อน ตามด้วยการรักษาด้วยยา แต่กลุ่มที่ไม่สามารถผ่าตัดได้จะพิจารณาเรื่องการฉายรังสีเป็นหลัก

3. ระยะแพร่กระจาย เป็นการรักษามะเร็งปอดเพื่อควบคุมตัวโรค ไม่ได้มุ่งหวังให้หายขาด แต่จะเน้นให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดอาการที่เกิดจากมะเร็ง และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้นานขึ้น โดยจะรักษาด้วยยาเป็นหลัก แต่บางกรณี เช่น มีก้อนในสมอง ทำให้ปวดหัว อ่อนแรง อาจจะพิจารณารักษาที่สมองก่อนโดยการฉายรังสี หรือการผ่าตัดเฉพาะที่ หลังจากนั้นก็จะรักษาโดยการใช้ยาต่อ

การรักษาด้วยยา

ยาเคมีบำบัด ปัจจุบันใช้โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดเป็นหลัก

ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

ยาพุ่งเป้า คือ ยาที่สามารถยับยั้งการทำงานของยีนที่ก่อให้เกิดมะเร็งโดยตรง ซึ่งต้องตรวจหาความผิดปกติของยีนเพิ่มเติม ถึงจะสามารถรักษาด้วยยาที่จำเพาะต่อยีนนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของยาพุ่งเป้า คือ การตอบสนองต่อการรักษาดี มีโอกาสที่มะเร็งมีขนาดเล็กลงได้มาก ผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่พบได้บ่อย เช่น สิว ผื่นขึ้น เล็บขบ ตับอักเสบ ซึ่งหากมีผลข้างเคียง ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที เพื่อปรับยาและให้การรักษาที่เหมาะสม

ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน คือ ยาที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของคนไข้ เพื่อมาต่อสู้กับมะเร็ง ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น โดยอาจใช้เป็นยารักษาเดี่ยว หรือใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามะเร็งปอด ผลข้างเคียงที่พบมักจะมาในรูปแบบของการเกิดการอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผื่น ซึ่งอาจจะมาได้หลากหลายรูปแบบ ตับอักเสบ ความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ บางรายมีปอดอักเสบได้ซึ่งโอกาสเกิดน้อย และมักจะมีความรุนแรงไม่มาก

แม้ว่าปัจจุบัน จะมีนวัตกรรมการรักษามะเร็งปอด และยาต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษามะเร็งปอดที่ดีมากขึ้นดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่การตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ก็จะเพิ่มโอกาสหายขาดได้มากกว่า ดังนั้น ควรสังเกตอาการของตนเองและคนรอบข้าง หากมีอาการ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงที

@@@@@@

แหล่งข้อมูล
อ. พญ.ธนพร ธำรงจิรพัฒน์ สาขามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" ทั้งหมดคลิกที่นี่

...