เชื้อดื้อยา คือ เชื้อโรคที่ไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาตามปกติได้ เนื่องจากมีภาวะที่อาจต้องใช้ยาปริมาณที่มากขึ้น หรือไม่สามารถใช้ยานั้นได้เลย ต้องเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น
เชื้อดื้อยาเกิดจาก 2 ลักษณะ คือ
แบบแรก การได้รับเชื้อที่ดื้อยาตั้งแต่แรก จากผู้ที่เราสัมผัสร่างกายหรือสารคัดหลั่ง
แบบที่ 2 การที่เชื้อตอนแรกไม่ได้ดื้อยา แต่เมื่อทำการรักษาแล้ว ใช้ยาไม่สม่ำเสมอ เช่น ลืมกินยา กินไม่ถูกเวลาที่กำหนด กินปริมาณน้อยกว่ากำหนด อีกกรณี คือ กินไม่ครบ ซึ่งพบบ่อยกว่า คือ เมื่อแพทย์สั่งยาเป็นเวลา 14 วัน แต่พออาการดีขึ้น ก็คิดว่าหายแล้ว จึงหยุดยาก่อนครบ 14 วัน
เชื้อดื้อยามีหลายประเภท โดยครอบคลุมทั้งเชื้อแบคทีเรีย วัณโรค ไวรัส เชื้อรา และหนอนพยาธิต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักพูดถึงเป็นเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อดื้อยาอะซินิโตแบคเตอร์ (Acinetobacter) เชื้อดื้อยากลุ่มอีโคไล ชนิดดื้อยาอีเอสบีแอล (ESBL E. coli) เป็นต้น อีกกลุ่มที่พบบ่อยคือ วัณโรคดื้อยา ซึ่งจะแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ดื้อยาตัวหลัก ดื้อยาตัวรอง ดื้อยาเกือบทั้งหมด หรือดื้อยาทั้งหมด ทั้งนี้ เชื้อดื้อยาสามารถติดต่อกันได้ เช่นเดียวกับเชื้อที่ไม่ดื้อยา
การติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล
การติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล สามารถพบได้ โดยเฉพาะการที่มีผู้ใช้ยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาล และมีบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยหรือญาติของผู้ป่วยที่อาจสัมผัสตัวผู้ป่วย สิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการหายใจต่าง ๆ ที่ทำให้การแพร่เชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลมีได้มากขึ้น
อาการ
อาการทั่วไปมักเกิดขึ้นกับอวัยวะที่เกี่ยวข้อง และเชื้อก่อโรคนั้น ๆ เช่น หากติดเชื้อในกรวยไต และมีการดื้อยาเกิดขึ้น จะมีอาการปวดบั้นเอว ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น และเมื่อรักษาแล้วยังมีอาการเท่า ๆ เดิม ไม่ดีขึ้นตามที่ควรจะเป็น หรือแย่ลงกว่าเดิม เป็นต้น
...
อันตรายของการติดเชื้อดื้อยา
เชื้อดื้อยาเป็นอันตรายเพราะทำให้ไม่สามารถให้การรักษาตามปกติได้ ต้องปรับยา ซึ่งอาจจะเพิ่มผลข้างเคียง ค่าใช้จ่าย และระยะเวลา ในบางกรณีอาจมีอาการรุกรามมากขึ้น เช่น ทำให้เกิดฝีหนอง ตัวอย่าง เช่น เกิดฝีหนองในไต หลังจากมีการติดเชื้อที่กรวยไต อาจจะต้องมีการผ่าตัดเพื่อระบายหนองออก ใส่ท่อระบายหนอง ติดตามพบแพทย์เป็นระยะ และให้ยาปฏิชีวนะยาวนานขึ้น บางรายอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อกหรือความดันต่ำ
การวินิจฉัย
นอกจากอาการทางคลินิกที่พบว่า การรักษาทำให้ผลไม่ดีคิดตามที่คาดไว้แล้ว การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่ง สิ่งส่งตรวจ หรือในเลือดต่าง ๆ ก็มีความสำคัญ ที่บ่งบอกเชื้อดื้อยา ในขณะนี้ยังมีเทคโนโลยีทางพันธุกรรม เช่น การตรวจในกลุ่มพีซีอาร์ ที่ช่วยบอกยีนส์ดื้อยาได้ ทำให้การรักษาแม่นยำมากขึ้น
การรักษา
การรักษาเชื้อดื้อยา ทำได้ในกรณีที่มีทางเลือกยาอื่น ๆ แต่ในบางครั้งอาจมีตัวยาให้เลือกน้อยมากหรือไม่มียาที่ใช้ได้ จึงจำเป็นต้องใช้ยาหลายตัว เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด การรักษาบางครั้งอาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ ร่วมกับการทำหัตถการต่าง ๆ เพื่อกำจัดแหล่งเชื้อ เช่น การระบายหนอง
คำแนะนำในการดูแลตนเองและการป้องกัน
การป้องกันตนเองที่ดีที่สุด คือ การรักษาสุขอนามัย ไม่ให้เกิดการติดเชื้อ โดยการกินอาหารสุกสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ฉีดวัคซีนป้องกันตนเองตามวัยและตามความเสี่ยงของโรคประจำตัวที่มี หากต้องกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะ ควรใช้ตามที่แพทย์สั่งจนครบ ไม่หยุดยาเอง ไม่หาซื้อยามากินหรือฉีดเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
แหล่งข้อมูล
อ. พญ. รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" เพิ่มเติม