“ไข้อีดำอีแดง” หรือภาษาอังกฤษ คือ Scarlet fever (สการ์เล็ต ฟีเวอร์) เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย ชื่อว่า Streptococcus group A (สเตร็ปโตคอคคัส กลุ่มเอ) โดยเชื้อนี้สามารถสร้างสารพิษที่สำคัญคือ erythrogenic toxin ซึ่งตามชื่อ คือ จะมีไข้ มีผื่นสีคล้ำและสีแดงตามตัว มักมีร่วมกับคอหอยหรือต่อมทอนซิลอักเสบได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค

เชื้อนี้สามารถติดต่อได้ โดยผ่านทางสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำลาย เสมหะ น้ำมูก ผ่านการสูดดม การสัมผัสของที่ใช้ร่วมกัน หรือสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรคอยู่ โดยมีระยะฟักตัว 2-4 วัน

ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ คนที่มีอายุน้อย 5-15 ปี คนที่สัมผัสผู้ป่วย เช่น อยู่ในโรงเรียนหรือสถานที่พักเดียวกัน และคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น มีโรคมะเร็ง มียาที่กดภูมิคุ้มกัน มีการปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก

อาการ

อาการติดเชื้อนี้ จะมีไข้สูง หนาวสั่น ฟันกระทบกัน ปวดหัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ กลืนเจ็บบริเวณต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว ที่ลิ้นอาจมีผื่นแดงนูน และคลุมด้วยฝ้าสีขาวลักษณะคล้ายสตรอว์เบอร์รี หน้ามักจะแดงและมีวงสีจาง ๆ รอบ ๆ ปาก

ต่อมา ประมาณ 24-48 ชั่วโมง จะมีผื่นตามตัว มักจะสาก ๆ คล้ายกระดาษทราย (Sandpaper) หรือคล้ายผื่นแดด (Sunburn) อาจมีอาการคัน และเห็นสีผื่นเข้มขึ้น โดยเฉพาะข้อพับ บริเวณข้อพับแขนจะเรียกว่า Pastia’s line หรือภาษาไทยว่า เส้นพาสเตีย โดยเวลากดไปที่ผื่น มักจะมีลักษณะจางลง

ต่อมาผื่นจะเริ่มจางลงใน 72-96 ชั่วโมง ภายใน 1-4 สัปดาห์มักมีการลอกของผื่นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือเท้า บางครั้งมีการลอกออกเป็นขุยบริเวณผิวหนัง

การวินิจฉัย

...

นอกจากอาการและอาการแสดงดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับปัจจัยเสี่ยง ยังมีการตรวจเพิ่มเติมในการใช้การตรวจบริเวณคอ โดยใช้สำลีเก็บสิ่งส่งตรวจ และนำไปเพาะเชื้อ หรือตรวจหาทางโมเลกุล

การรักษา

สามารถกินยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาสเตร็ปโตคอคคัส กลุ่มเอ นอกจากนี้ มีการบรรเทาอาการ ส่วนใหญ่มักเป็นการกินยาลดไข้ ยาทาบรรเทาอาการคันที่ผื่น

อันตรายและภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อของแบคทีเรียไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ติดเชื้อในหัวใจ อาจจะเป็นการติดเชื้อในลิ้นหัวใจ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถไปที่ผิวหนัง ข้อ ระบบประสาทและสมอง

การดูแลตนเอง และการป้องกัน ทำได้ดังนี้

1. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์อย่างน้อย 20 วินาที
2. หลีกเลี่ยงที่แออัด หรือบริเวณที่มีคนไอจาม อาจพิจารณาสวมหน้ากากอนามัยหากจำเป็นต้องอยู่ในบริเวณนั้น ๆ
3. งดใช้อุปกรณ์อาหารหรือกินอาหารร่วมกัน โดยเฉพาะในโรงเรียน หรือสถานดูแลเด็กเล็ก
4. เมื่อไอหรือจาม ควรปิดปากและจมูก

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนโรคไข้อีดำอีแดง หากป่วยเป็นโรคนี้ ควรพบแพทย์ หรือหากสงสัยในเด็ก ควรหยุดเรียน หรือแยกตัวออกจากผู้อื่นจนกว่าจะได้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น

แหล่งข้อมูล
อ.พญ. รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" เพิ่มเติม