โรคตับอักเสบจากไวรัสตับอี พบได้ทั่วโลกประมาณเกือบ 20 ล้านคนต่อปีจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะในแอฟริกา และเอเชีย โดยเฉพาะในบริเวณที่ขาดการบำบัดน้ำ สุขอนามัยไม่ดีเพียงพอ หรือบริเวณที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้เต็มที่ เช่น ในเขตสงคราม เขตผู้อพยพ ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ได้แยกตัวและแพร่เชื้อได้ง่าย อาจมีการแพร่ระบาดได้ บางครั้งเป็นร้อยหรือเป็นพันคน

ไวรัสตับอีที่ก่อเชื้อโรคในคนได้นั้นมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ จีโนไทป์ 1, 2, 3 และ 4

โดยที่ จีโนไทป์ 1 และ 2 พบส่วนใหญ่ในคน มักพบจากการกินน้ำไม่สะอาด ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ได้ บางครั้งเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ขณะที่ จีโนไทป์ 3 และ 4 มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ และมักแพร่มายังคน ผ่านการกินเนื้อที่ไม่สุก และจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยเกิดจากการติดเชื้อผ่านทางเดินอาหารจากการกินน้ำ หรืออาหารที่มีการปนเปื้อนของไวรัส ซึ่งถ่ายออกมาจากอุจจาระผู้ที่ติดเชื้อ

อาการ

หลังจากได้รับเชื้อ จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-10 สัปดาห์ โดยเฉลี่ยประมาณ 5-6 สัปดาห์

โดยคนที่ป่วยสามารถปล่อยไวรัสผ่านการขับถ่ายอุจจาระ ตั้งแต่ก่อนมีอาการ 3 วันจนกระทั่งหลังมีอาการอีก 3 สัปดาห์

อาการหลัก ได้แก่ ช่วงแรก มักมีไข้ต่ำ ๆ กินอาหารได้น้อย คลื่นไส้ อาเจียน ประมาณ 2-3 วัน ปวดท้อง มีผื่นที่ผิว คันตามผิวหนัง เจ็บข้อ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม อุจจาระสีอ่อน ตับโต และเจ็บเมื่อสัมผัสท้องด้านขวาบน ส่วนใหญ่มักหายเองภายใน 1-6 สัปดาห์ ในกรณีที่เป็นรุนแรง อาจทำให้ตับวายเฉียบพลัน จนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาการเหล่านี้มักคล้ายกับโรคติดเชื้อเขตร้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะ มาลาเรีย ไข้เลือดออก โรคฉี่หนู หรือไข้เหลือง รวมทั้งคล้ายคลึงกับอาการตับอักเสบจากไวรัสตับตัวอื่น ๆ ด้วย

...

กลุ่มเสี่ยง

หญิงตั้งครรภ์ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 และ 3 อาจทำให้เกิดตับวายเฉียบพลัน เสี่ยงต่อการสูญเสียทารกในครรภ์ ที่สำคัญคือตัวหญิงตั้งครรภ์เอง อาจเสียชีวิตได้ (พบมากถึงประมาณร้อยละ 20-25 ในไตรมาสที่ 3)

คนที่ภูมิต้านทานต่ำ เช่น ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือกินยากดภูมิ อาจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอีแบบเรื้อรัง คือไม่หายขาดหลังจากติดเชื้อฉับพลันได้

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคจากอาการและอาการแสดงที่สงสัย ร่วมกับระบาดวิทยา รวมถึงการตรวจค่าตับ มักพบมีค่าเอนไซม์ตับสูง และค่าบิลิรูบินที่บอกค่าเหลืองสูงได้

การส่งเลือดตรวจเพื่อการยืนยันโดยตรวจแอนติบอดี้ชนิดไอจีเอ็มจำเพาะไวรัสตับอี ที่เรียกว่า anti-HEV immunoglobulin (IgM) antibody หรือการตรวจพีซีอาร์จากเลือดหรืออุจจาระได้

การรักษา

ขณะนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ ส่วนใหญ่หายเองได้ ให้หลีกเลี่ยงอาหารและยาที่มีผลกับตับ เช่น พาราเซตามอล การนอนโรงพยาบาลมีความจำเป็นในคนที่มีการอักเสบของตับอย่างรุนแรง และให้พิจารณาในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการ

การป้องกัน

การแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบอี สามารถทำได้โดยการดูแลระบบน้ำให้สะอาดได้มาตรฐาน มีการกำหนดมาตรฐานในการทิ้งสิ่งปฏิกูล ในระดับบุคคล คือการรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ไม่ทานน้ำหรือน้ำแข็งที่ไม่แน่ใจว่าสะอาดหรือไม่

มีวัคซีนป้องกันในบางประเทศ เช่น ประเทศจีน หลายประเทศในแอฟริกา และใช้ในกรณีที่เกิดการระบาดใหญ่ แต่ยังไม่มีวัคซีนนี้ในประเทศไทย แต่หากมีการระบาดใหญ่ ทางองค์การอนามัยโลกมีกลไกในการวางแผนการบริหารจัดการรวมทั้งอาจใช้วัคซีนในการควบคุมการระบาดด้วย

แหล่งข้อมูล
อาจารย์ แพทย์หญิงรพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล