จากข้อมูลของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่า สาเหตุของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย 2 อันดับแรก ได้แก่ โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและระดับความดันเลือดไม่ได้ตามเป้าหมาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ รวมถึงโรคไต นอกจากนี้ การเกิดพิษต่อไตจากยาเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคไตเรื้อรังได้เช่นกัน
ยาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้แตกต่างกันไป ไม่ใช่ยาทุกชนิดจะทำให้เกิดพิษต่อไต มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดได้ ซึ่งยาสามารถทำให้เกิดพิษต่อไตได้ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น ยาทำให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลง ยาเป็นพิษต่อไตโดยตรง หรือยาตกตะกอนบริเวณท่อไต ความสามารถในการทำให้เกิดพิษต่อไตจากยานั้นยังต้องอาศัยปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมอีก เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะตับหรือไตเสื่อม ภาวะขาดน้ำ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ การได้รับยาในขนาดสูงหรือนานเกินไป ได้รับยาที่เป็นพิษต่อไตร่วมกันหลายตัว มีปฏิกิริยาต่อยาที่ได้รับร่วมกันทำให้ระดับยาสูงขึ้นจนเกิดพิษต่อไตได้ ตัวอย่างกลุ่มยาที่สามารถทำให้เกิดพิษต่อไตได้ เช่น
● ยาแก้ปวดกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยากลุ่ม NSAID) เช่น ไอบูโพรเฟน มีเฟนนามิกแอซิด
● ยาต้านไวรัสอะไซโคลเวียร์ แกนไซโคลเวียร์
● ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไตรม็อกซาโซล
● สารทึบรังสีใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์
สามารถป้องกันการเกิดภาวะไตเสื่อมจากยาได้โดยหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ปรับขนาดยาให้เหมาะสม ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และควรนำรายการยาทั้งหมดที่กินอยู่มาด้วย เพื่อประกอบการพิจารณา
...
ยาที่ควรระวัง
นอกจากยาแผนปัจจุบันที่เป็นพิษต่อไตที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ควรระมัดระวังการกินยาดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงการกินยาชุด ซึ่งประกอบด้วยตัวยาหลายชนิดรวมอยู่ในซองเดียวกัน เพื่อรักษาอาการที่แตกต่างกันไป เช่น ยาชุดแก้ปวดเมื่อย อาจมียาแก้ปวดหลายชนิดซ้ำซ้อนกัน มีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้ ทั้งนี้ ยาชุดยังเสี่ยงต่อยาเสื่อมคุณภาพ และไม่ได้มาตรฐานอีกด้วย
2. การกินอาหารเสริมหรือสมุนไพร
ควรเลือกกินอาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ เพราะหากกระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารปนเปื้อน หรืออาจตั้งใจเติมยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาแก้ปวดเอ็นเสด สเตียรอยด์ เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อีกทั้งยาสมุนไพรบางชนิด หากได้รับในปริมาณมากเกินไป ทำให้เกิดพิษต่อไตได้ เช่น น้ำมะเฟือง แครนเบอร์รี การกินลูกเนียงดิบมากเกินไป
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไตบางระยะยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการสะสมของสารดังกล่าว เพราะขับออกทางไตได้ลดลงจนเกิดอันตรายได้ เช่น อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีโพแทสเซียมในปริมาณสูงมีผลต่อการเต้นของหัวใจ เช่น น้ำลูกยอ หญ้าหนวดแมว อัลฟัลฟ่า
3. ยาบางชนิดจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคไตบางระยะ ยาบางชนิดจำเป็นต้องปรับขนาดยาตามการทำงานของไตที่ลดลง เพื่อไม่ให้ระดับยาในเลือดสูงเกินขนาดการรักษาจนเกิดอาการข้างเคียงต่อไต หรืออวัยวะอื่น ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบ หากมีภาวะการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคไตเรื้อรัง
กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคไตเรื้อรังมีเป้าหมายในการชะลอความเสื่อมของไต และใช้ยาเพื่อป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคไตเรื้อรัง
1. การใช้ยาเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดและใช้ยาลดความดันเลือด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลและความดันเลือดให้ได้ตามเป้าหมายสามารถช่วยชะลอไตเสื่อมได้ นอกจากนี้ ยังมียาบางกลุ่มที่สามารถช่วยชะลอไตเสื่อมได้ โดยการลดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ ได้แก่
1.1 ยาลดความดันเลือดกลุ่มเอ ซี อี ไอ, เออาร์บี เช่น อีนาลาพริล โลซาร์แทน
1.2 ยากลุ่มยับยั้งเอสจีแอลทีทู เช่น ดาพากลิโฟลซิน เอ็มพากลิโฟลซิน
1.3 ยากลุ่มยับยั้งตัวรับมินเนอราโลคอร์ติคอยด์ หรือที่เรียกว่ากลุ่มเอ็มอาร์เอ ได้แก่ ไฟเนอรีโนน (finerenone)
2. ยาที่ใช้ป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคไต โรคไตเรื้อรังในระยะท้าย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระบบต่าง ๆ ของร่างกายเช่น ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและภาวะบวมน้ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะเลือดจาง ภาวะความผิดปกติของสมดุลแร่ธาตุและกระดูก นำไปสู่ภาวะกระดูกบาง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ จึงจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาอาการดังกล่าว
คำแนะนำเพิ่มเติมอื่น ๆ
ในวันที่ไม่สบายมาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว เบื่ออาหาร ทำให้ไม่สามารถดื่มน้ำหรือกินอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักลด 3 กิโลกรัมในช่วง 2 วัน ปัสสาวะออกลดลง ควรหยุดกินยาบางชนิดชั่วคราว ได้แก่ ยากลุ่มยับยั้งเอสจีแอลทีทู ยาลดน้ำตาลเมทฟอร์มิน ยาลดความดันกลุ่ม เอ ซี อี ไอ, เออาร์บี เพื่อป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน ภาวะเลือดเป็นกรดชนิดรุนแรงจากยาเมทฟอร์มิน เมื่ออาการหายเป็นปกติแล้วจึงกลับมากินยาในขนาดเดิม
แหล่งข้อมูล
ภญ.วันทนี อภิชนาพงศ์ ฝ่ายเภสัชกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
...