คนส่วนใหญ่มักคิดว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยเท่านั้น แต่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายแห่งกลับพบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้อายุต่ำกว่า 70 ปีมากขึ้น และยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยหัวใจวายมีอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลในปัจจุบัน

ปัจจุบัน โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2022 ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ราว 19.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 32% ของการเสียชีวิตทั้งหมดทั่วโลก โดยกว่า 85% เกิดจากภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ในปี 2021 พบว่า 38% ของผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร (อายุต่ำกว่า 70 ปี) จากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

สถานการณ์ในประเทศไทยก็ไม่แตกต่างกัน ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2566 พบว่ามีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสะสมมากกว่า 2.5 แสนราย และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 4 หมื่นราย หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน แม้ในอดีตโรคหัวใจและภาวะหัวใจวายมักพบในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันแนวโน้มกลับเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล

ข้อมูลจาก American College of Cardiology ระบุว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยหัวใจวายมีอายุต่ำกว่า 40 ปี และระหว่างปี 2000–2016 อัตราการเกิดหัวใจวายในคนอายุ 20–30 ปีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2%

พฤติกรรมเสี่ยง ตัวการโรคหัวใจใน Gen Y

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่าคนวัยทำงานตอนต้นกำลังเผชิญปัญหาหัวใจเร็วกว่าที่เคย แม้อยู่ในวัยทำงานที่ร่างกายยังแข็งแรง แต่ด้วยภาระงาน ความเครียดจากการหาเงินเลี้ยงครอบครัวและการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ก็เป็นปัจจัยทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การนั่งทำงานต่อเนื่องวันละหลายชั่วโมงโดยแทบไม่ขยับตัว การรับประทานอาหารที่มีเกลือ น้ำตาล ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอลสูง ไปจนถึงอาหารสำเร็จรูป มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนลงพุง

...

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

ถ้าหากมีพฤติกรรมอันตรายร่วมด้วยอย่างการสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และการใช้สารเสพติดบางชนิด ก็ยิ่งเร่งให้หัวใจและหลอดเลือดเสื่อม และเพิ่มโอกาสเกิดหัวใจวายได้แม้ในคนอายุน้อย และยิ่งถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง ที่น่ากังวลคือ อาการในคนอายุน้อยมักไม่ชัดเจน เช่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด อ่อนเพลีย หรือเวียนศีรษะ ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการทั่วไปจากความเครียด ทำให้พลาดโอกาสรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตกะทันหัน

นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เผยว่า “โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคที่ต้องอาศัยทั้งความชำนาญเฉพาะทางและเทคโนโลยีขั้นสูง ปัจจุบัน เราพบว่ากลุ่มวัยทำงาน โดยเฉพาะ Gen Y มีอัตราการป่วยจากโรคนี้เพิ่มขึ้น การเปิดศูนย์หัวใจและหลอดเลือดของวิมุต จึงเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับการดูแลโรคหัวใจ ตั้งแต่การป้องกัน การคัดกรองความเสี่ยง การวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษาที่ผสานเทคโนโลยีทางการแพทย์ ข้อมูลสุขภาพเชิงลึก และการดูแลที่ปรับให้ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Care)”

โรคหัวใจที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะช่วงอายุ 30–40 ปี ได้แก่

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease – CAD)

เกิดจากการสะสมของคราบไขมันหรือพลัคในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ อาการที่พบบ่อยคือเจ็บแน่นหน้าอกโดยเฉพาะเวลาออกแรง เหนื่อยง่าย และหายใจสั้น ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

เกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วไป ช้าไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ โดยสาเหตุอาจมาจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมาก ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการที่ควรสังเกต ได้แก่ ใจสั่น เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย หน้ามืด หรือหมดสติในบางราย

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


โรคหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

...

เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงหรือแข็งเกินไป ทำให้การบีบและคลายตัวของหัวใจไม่เต็มประสิทธิภาพ สาเหตุอาจมาจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง

โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง ซึ่งอาการที่สังเกตได้ เช่น เหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเมื่อนอนราบ ขาบวม น้ำหนักขึ้นเร็วจากการคั่งของน้ำ และหายใจลำบาก

รพ. วิมุต นำเสนอแนวทางการดูแลสุขภาพ "4 ลด 4 เลิก" สำหรับ Gen Y และทุกเจนที่ต้องการดูแลหัวใจให้แข็งแรง ดังนี้

4 ลด : ลดปัจจัยเสี่ยงสะสม

1. ลดอาหารไขมันสูงและหวานจัด เมนูโปรดของ Gen Y อย่างชานมไข่มุกหรือหมูกระทะ เพิ่มปริมาณไขมันและน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรจำกัดความถี่ เช่น จากเดิมที่กินทุกสัปดาห์ให้เหลือเดือนละครั้ง และพยายามกินเมนูต้มหรือนึ่งแทนของทอดเพื่อลดความเสี่ยง

2. ลดโซเดียม อาหารสำเร็จรูปคือทางลัดสุดสะดวกของคนรุ่นใหม่ แต่ก็มักซ่อนโซเดียมในปริมาณสูง ดังนั้นควรอ่านฉลากก่อนซื้อ เลือกเมนูที่ปรุงน้อย และหลีกเลี่ยงการใส่เครื่องปรุงเพิ่ม ก็จะช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมาก

3. ลดน้ำหนักและรอบเอว ภาวะอ้วนลงพุงเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงต่อเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง การปรับพฤติกรรมให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น เดินวันละ 8,000–10,000 ก้าว ขึ้นบันไดแทนลิฟต์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานและลดรอบเอวได้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...


4. ลดความเครียดเรื้อรัง ความเครียดจากงานและการกังวลกับภาระต่าง ๆ ในชีวิต ทำให้หัวใจทำงานหนัก เสี่ยงความดันโลหิตสูง และทำให้คุณภาพการนอนลดลง ทุกคนควรหาเวลาส่วนตัวให้ตนเองอย่างน้อยวันละ 15–30 นาทีเพื่อทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ หรือจดบันทึก จะช่วยให้หัวใจได้พักฟื้น

4 เลิก : เลิกพฤติกรรมทำร้ายหัวใจ

1. เลิกสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีสารที่ทำลายหลอดเลือดและหัวใจ และเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองในวัยทำงาน การเลิกสูบไม่เพียงช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น แต่ยังทำให้ปอดฟื้นตัวและเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย

2. เลิกนอนดึก–นอนน้อย การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนทำให้ร่างกายไม่มีเวลาซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งทำให้ระบบฮอร์โมนแปรปรวน และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจวาย โดยการตั้งเวลาเตือนปิดหน้าจอ 30 นาทีก่อนเข้านอน และจัดกิจวัตรก่อนนอนที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้หลับดีขึ้นและตื่นมาสดชื่น

3. เลิกใช้ชีวิตแบบไม่ออกกำลังกาย การนั่งติดโต๊ะทำงานทั้งวันหรือใช้เวลาว่างไปกับหน้าจอโดยไม่ขยับตัว ทำให้การไหลเวียนเลือดลดลงและหัวใจไม่แข็งแรง การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหนักหรือใช้เวลานาน เพียงเลือกกิจกรรมที่สนุกและเหมาะกับตนเอง เช่น เต้นตามคลิป ปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นหลังเลิกงาน เพียงทำให้ได้รวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ก็เพียงพอในการเสริมความแข็งแรงของหัวใจ

4. เลิกละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี ความเสี่ยงต่อโรคร้ายของ Gen Y คือการคิดว่าตัวเองยังแข็งแรงและไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ แต่โรคหัวใจใน Gen Y มักไม่มีสัญญาณเตือนชัดเจน การตรวจคัดกรองไขมัน ความดัน และสุขภาพหัวใจปีละครั้ง จะช่วยให้เจอความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ และรับการรักษาทันท่วงที

...