หลักการกินยาที่ถูกวิธี มีดังนี้
1. กินยาตามแพทย์สั่ง ไม่ควรปรับขนาดยาหรือหยุดยาเอง ควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด
2. หากสงสัยอาการข้างเคียงจากยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
3. ยาบางชนิดจำเป็นต้องกินให้ครบระยะเวลาตามที่กำหนด เช่น ยาปฏิชีวนะ เพื่อให้การติดเชื้อหายขาด และป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา
4. กรณียารักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาเอง แต่ในกรณีที่แพทย์สั่งใช้ตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เมื่อไม่มีอาการแล้วควรหยุดยา
5. ยาแต่ละชนิดมีคำแนะนำการกินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดอาการข้างเคียงจากยา เช่น ยาก่อนอาหาร ควรกินก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที ยาหลังอาหาร สามารถกินหลังอาหาร 15-30 นาที ยาหลังอาหารทันที ควรกินหลังอาหารทันที (ไม่ควรกินตอนท้องว่าง) ยาพร้อมอาหารควรกินพร้อมอาหารคำแรก หรือหลังจากกินอาหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยาก่อนนอน ควรกินก่อนนอน 15-30 นาที
6. ยาบางชนิดมีการปรับเปลี่ยนลักษณะการปลดปล่อยตัวยา ห้ามบด เคี้ยว หรือแบ่งเม็ดยา เนื่องจากอาจทำให้สูญเสียคุณสมบัติบางอย่าง เช่น ทำให้ยาออกฤทธิ์สั้นลง ยาถูกทำลายในร่างกาย ทำให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ (สังเกตได้จากคำแนะนำบนฉลากยา)
7. หากมีประวัติแพ้ยา ตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้ง
8. กรณีรับยาจากแพทย์หลายท่าน ควรนำยาอื่นที่กินอยู่ทั้งหมดแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อป้องกันการได้รับยาซ้ำซ้อน หรือเกิดอันตรกริยาระหว่างยา ซึ่งอาจมีผลทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงหรือเกิดอาการข้างเคียงจากยาเพิ่มขึ้นได้
หากลืมกินยามื้อเช้า ควรทำอย่างไร
...
หลักการโดยทั่วไปในกรณีที่ลืมกินยา ถ้าเป็นยาที่กินวันละ 1 ครั้ง ให้กินทันทีที่นึกขึ้นได้ ถ้ายังไม่เกิน 12 ชั่วโมงหลังเวลากินยา หากเกิน 12 ชั่วโมงไปแล้วให้ข้ามการกินยามื้อนั้นไปเลย และกินยามื้อถัดไปในขนาดปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มยาเป็น 2 เท่า
ถ้าเป็นยาที่กินวันละ 2 ครั้ง ให้กินทันทีที่นึกขึ้นได้ ถ้ายังไม่เกิน 6 ชั่วโมงหลังเวลากินยา หากเกิน 6 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ข้ามการกินยามื้อนั้นไป และกินยามื้อถัดไปในขนาดปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า (หลักการนี้ไม่สามารถใช้กับยาบางประเภท เช่น ยาจับฟอสเฟต ยาที่จำเป็นต้องกินสัมพันธ์กับมื้ออาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร)
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการกินยาและซื้อยากินเอง
1. ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับยาที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสม และได้รับคำแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้อง
2. หากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ไข้นานเกิน 4 วัน ไข้และหนาวสั่นมาก อ่อนเพลียมาก เบื่ออาหารน้ำหนักลด ปวดหัวรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
คำแนะนำเพิ่มเติมอื่น ๆ
1. เก็บยาอย่างถูกวิธีในที่แห้งและหลีกเลี่ยงแสงแดด ในภาชนะบรรจุเดิม ยาแช่เย็น (อุณหภูมิ 2-8 องศา) ควรเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา ห้ามใส่ช่องแช่แข็ง ฝาตู้เย็น ช่องแช่ผัก
2. ตรวจสอบวันหมดอายุ และตรวจสอบสภาพยาก่อนกิน
3. แหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ปัจจุบัน มีแหล่งข้อมูลที่เปิดกว้างมากมาย รวมถึงโฆษณาชวนเชื่อ โดยแหล่งที่มาของข้อมูลไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด นำมาซึ่งความเสียหายมากมาย ดังนั้นก่อนที่จะเชื่อข้อมูลนั้น ๆ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้ชัดเจน
แหล่งข้อมูล
ภญ.วันทนี อภิชนาพงศ์ ฝ่ายเภสัชกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล