“มองกระจกแล้วรู้สึกว่าตาดูง่วง หรือเพื่อนทักว่าหน้าดูเหนื่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เหนื่อย และก็นอนเต็มอิ่ม บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เพราะความล้า แต่เป็นเพราะ หนังตาตก”

หนังตาตก คือ ภาวะที่ขอบเปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าปกติ ทำให้ตาดูเล็กลงและเห็นตาดำน้อยลง ปกติขอบเปลือกตาบนควรคลุมตาดำเพียงเล็กน้อยประมาณ 1-2 มิลลิเมตร หากคลุมลงมามากกว่านี้ถือว่าเป็นหนังตาตก

ภาวะนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้า หากยังส่งผลกระทบต่อลานสายตา และการมองเห็นหากหนังตาตกมากจนคลุมรูม่านตา อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเริ่มรักษา แพทย์จำเป็นต้องแยกให้ออกก่อนว่าผู้ป่วยเป็น “หนังตาตกจริง” หรือ “หนังตาตกปลอม” เพราะสาเหตุและแนวทางการรักษาของทั้งสองกรณีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หนังตาตกปลอม มีกี่สาเหตุ

การลืมตาที่เป็นปกติ จำเป็นต้องอาศัยการทำงานที่เป็นปกติของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาหรือกล้ามเนื้อลืมตา และเส้นประสาทที่มาควบคุม ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อลืมตาหรือเส้นประสาทที่มาควบคุมจะทำให้เกิดภาวะหนังตาตกจริง ในกรณีของหนังตาตกปลอม ขอบเปลือกตาบนจะอยู่ในตำแหน่งปกติ แต่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้เปลือกตาดูเหมือนตก ซึ่งมีหลายสาเหตุ ได้แก่

1. ผิวหนังหย่อนคล้อยตามวัย

หรือมีผิวหนังส่วนเกิน ตรวจตาจะพบว่าขอบเปลือกตาอยู่ในตำแหน่งปกติ แต่ผิวหนังที่เกินและหย่อนคล้อยลงมาทำให้ดูเหมือนหนังตาตก วิธีแก้ไขคือการผ่าตัดตัดผิวหนังส่วนเกินออก โดยไม่ต้องแก้ไขที่กล้ามเนื้อลืมตา

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...


2. ภาวะคิ้วตก

เมื่อคิ้วตกลงมาจะดันผิวหนังเปลือกตาลงมากองจนดูเหมือนหนังตาตก ตรวจตาจะพบว่าขอบเปลือกตาอยู่ในตำแหน่งปกติ กล้ามเนื้อลืมตาทำงานเป็นปกติ การรักษาจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุ ปรับตำแหน่งคิ้วด้วยการยกคิ้วขึ้น ไม่ใช่ผ่าตัดเปลือกตา ภาวะคิ้วตกเกิดได้จาก ความหย่อนคล้อยตามวัย หรือภาวะที่ทำให้เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงาน

3. ภาวะตาเหล่

หากลูกตาเหล่ขึ้นบน จะทำให้ตาดำก็ถูกขอบเปลือกตาคลุมมากกว่า 2 มิลลิเมตร หรือหากลูกตาเหล่ลงล่าง ขอบเปลือกตาจะขยับต่ำตามลูกตาลงมา ทั้งสองกรณี จะทำให้ดูเหมือนหนังตาตก ตรวจตาจะพบว่าลูกตาสองข้างอยู่ในระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน หลังการผ่าตัดแก้ไขภาวะตาเหล่ เปลือกตาจะกลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมเอง

4. ภาวะตายุบลึกเข้าในเบ้าตา

เกิดจากตาฝ่อ ตาเล็กแต่กำเนิด หรืออุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกเบ้าตาแตก เบ้าตากว้างขึ้น ส่งผลให้ลูกตาถอยหลังเข้าในเบ้าตา ทำให้ไม่มีอะไรมารองรับและดันเปลือกตา จึงลืมตาไม่ขึ้น กรณีเช่นนี้การใส่ตาปลอมครอบทับตาที่เล็ก/ฝ่อ หรือผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกเบ้าตาที่แตก ให้ตาสองข้างยื่นออกมาสมดุลกัน เปลือกตาจะกลับสู่ตำแหน่งปกติเอง

หนังตาตกจริง มีลักษณะอย่างไร

สำหรับผู้ที่มีภาวะหนังตาตกจริง เมื่อตรวจตาจะพบขอบเปลือกตาบนคลุมตาดำมากกว่า 2 มิลลิเมตร บางรายมีภาวะหนังตาตกที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับกล้ามเนื้อลืมตาที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ หนังตาจึงตกตั้งแต่แรกเกิด อาจตกข้างเดียวหรือตกสองข้าง ระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป เช่น

  • บางรายหนังตาตกยังไม่บังรูม่านตาและไม่บังการมองเห็น
  • บางรายหนังตาปิดบังดวงตามากขึ้นทำให้เด็กต้องเงยคางตลอดเวลาเพื่อให้มองเห็น
  • บางรายหนังตาปิดบังรูม่านตาจนส่งผลต่อการพัฒนาการมองเห็น ทำให้สมองเข้าใจผิด ว่าตาข้างนั้นมองไม่ชัด กลายเป็นภาวะ “ตาขี้เกียจ” ที่ไม่สามารถแก้ไขได้เมื่อโตขึ้น การรักษาต้องอาศัยการผ่าตัดเพื่อปรับแก้กล้ามเนื้อลืมตาให้ทำงานดีขึ้น หรือหากกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากอาจต้องใช้วิธีผ่าตัดยึดเปลือกตาเข้ากับคิ้วเพื่อให้กล้ามเนื้อยกคิ้วช่วยดึงเปลือกตาให้ขยับเปิดสูงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ยังควรตรวจค่าสายตาและแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติด้วยแว่นที่เหมาะสม เพื่อให้สมองของเด็กได้เรียนรู้การมองเห็นที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะตาขี้เกียจ ในช่วงที่เด็กยังมีพัฒนาการในการมองเห็น คืออายุน้อยกว่า 6-9 ปี การแก้ไขช้าเกินไปจะไม่สามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้

หนังตาตกที่เกิดขึ้นภายหลัง

เกิดความผิดปกติของกลไกการลืมตา เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้

1. ความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อลืมตาตามวัย

เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของการเกิดหนังตาตกในผู้ใหญ่ การใส่และถอดคอนแทคเลนส์เป็นประจำเป็นเวลานานหลายๆปี การดึงเปลือกตาขึ้นลงซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการยืดหรือบาดเจ็บเล็กน้อยสะสมต่อกล้ามเนื้อลืมตาเป็นอีกสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อลืมตาก่อนวัย รักษาโดยการผ่าตัดกระชับกล้ามเนื้อลืมตาเพื่อให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้นอีกครั้ง

2. ผิดปกติที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3

ที่คุมการทำงานของกล้ามเนื้อลืมตาหลัก (Levator muscle) หรือผิดปกติที่ระบบประสาทซิมพาเทติก ที่คุมการทำงานของกล้ามเนื้อลืมตารอง (Muller muscle) ความผิดปกติเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะอันตรายถึงชีวิตได้ ได้แก่ หลอดเลือดสมองโป่งพองกดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 เนื้องอกที่ยอดปอด เส้นเลือดแดงใหญ่ที่ลำคอมีปัญหา กดเบียดเส้นประสาทซิมพาเทติก

3. ผิดปกติที่สารสื่อประสาท

เป็นความผิดปกติของการส่งสัญญาณระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่ โรคที่พบบ่อยจากภาวะนี้คือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดรุนแรง (Myasthenia gravis) ลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือความผันแปรของอาการในระหว่างวัน ผู้ป่วยจะลืมตาได้ดีขึ้นเมื่อได้พักหรือหลังตื่นนอน หนังตาตกจะมากขึ้นในระหว่างวันเมื่อมีการใช้งานไปเรื่อย ๆ เป็นภาวะหนังตาตกที่รักษาด้วยยา ไม่ใช่การผ่าตัด บางรายอาจมีอาการเห็นภาพซ้อนร่วมด้วยเนื่องจากกล้ามเนื้อควบคุมการกลอกตาก็อ่อนแรงเช่นเดียวกัน ในกรณีที่โรครุนแรงขึ้น ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจจะเป็นทั่วร่างกายไม่ใช่แค่ที่หนังตาอย่างเดียว ส่งผลให้พูดไม่ชัด กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก ได้

...

4. ผิดปกติที่กล้ามเนื้อลืมตา

เป็นโรคของกล้ามเนื้อซึ่งอาจจะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็พบได้บ้าง

5. มีก้อนหนักถ่วงอยู่ที่เปลือกตา

เช่น ตากุ้งยิง เนื้องอกที่หนังตา และถ่วงให้หนังตาตกลงมา รักษาโดยการตัดก้อนที่ถ่วงออก

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

หัวใจสำคัญของการรักษา คือ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง แนวทางการรักษาที่แท้จริงขึ้นอยู่กับ “สาเหตุ” เป็นหลัก หากหนังตาตกเกิดจากความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ การผ่าตัดกระชับกล้ามเนื้อลืมตา จะทำให้ลืมตาได้มากขึ้น ทำให้ลานสายตากว้างขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นดีขึ้น แก้ไขภาพลักษณ์ที่ดูเหนื่อยล้าของดวงตา แต่บางครั้งหนังตาตกอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยอันตรายในร่างกายที่มากกว่า ที่มีโอกาสเป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องให้ความสำคัญกับการหาสาเหตุที่ถูกต้อง ไม่ละเลยหรือมองข้าม และจำเป็นต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การผ่าตัดเปลือกตาเพียงอย่างเดียว

ก่อนวางแผนการรักษาแพทย์จึงต้องตรวจตา ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจพิเศษเมื่อมีข้อบ่งชี้ เช่น การทำ CT scan หรือ MRI การตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดรุนแรง เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาที่เลือกนั้นถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

...

หลายคนคิดว่าหนังตาตกเป็นแค่เรื่องของความสวยงาม แต่ในความจริงแล้วภาวะนี้อาจเป็น “เสียงกระซิบเตือน” จากร่างกายว่ามีโรคสำคัญซ่อนอยู่ การไม่ละเลยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการหนังตาตก ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลดี และปลอดภัย ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้อย่างปกติ มีดวงตาที่สดใส ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ พร้อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง

“เพราะดวงตาไม่ใช่แค่หน้าต่างของหัวใจ แต่ยังเป็น “สัญญาณเตือนสุขภาพ” ที่ไม่ควรมองข้าม

ที่มา : ผศ. พญ.วีรวรรณ โชคทวีศักดิ์ หัวหน้าหน่วยต้อศัลยกรรมจักษุตกแต่งและเสริมสร้าง ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล