เงียบแต่ร้าย… เพราะมะเร็งไม่ได้ส่งสัญญาณเสมอไป! ถ้าพูดถึงโรคมะเร็ง แน่นอนว่าในประเทศไทยโรคนี้ถือเป็นโรคอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตทั้งเพศชายและเพศหญิงเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าหลายๆ ชนิดของมะเร็งมักไม่มีอาการมะเร็งออกมาให้เห็นในช่วงแรกๆ บางชนิดมะเร็งก็มาแบบเงียบๆ สัญญาณไม่มีมาให้ได้เตรียมตัว ส่วนใหญ่มักจะตรวจเจอในระยะท้ายๆ และในผู้ป่วย แต่บางรายก็ไม่สามารถรักษาได้ทันท่วงที รู้เมื่อไหร่อีกไม่นานก็มักจะเสียชีวิต
ทำไมในระยะเริ่มต้น ‘มะเร็ง’ มักไม่แสดงอาการ?
อาการมะเร็งบางชนิดไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนในระยะแรก ด้วยสาเหตุและปัจจัยหลายอย่าง บางทีเนื้อร้ายนั้นอาจจะอยู่ในตำแหน่งที่ลึก รวมถึงอาจเกิดในอวัยวะที่มีพื้นที่เพียงพอให้เนื้อร้ายนั้นขยายตัวโดยไม่เบียดเบียนเนื้อเยื่ออื่น หรืออาจเกิดจากเซลล์มะเร็งขยายตัวช้า เนื้อร้ายบางชนิดอาจเกิดในบริเวณที่ไม่มีปลายประสาทรับความรู้สึก ถึงแม้จะมีความผิดปกติเกิดขึ้น ก็อาจจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ทำให้บางครั้งไม่สามารถตรวจมะเร็งเจอตั้งแต่ต้น และมักจะเจอโดยบังเอิญผ่านการตรวจร่างกาย การเอกซเรย์ การวินิจฉัยอื่นๆ และส่วนมากอาการมะเร็งระยะเริ่มต้นมีความคลุมเครือ บางอาการก็คล้ายกับโรคทั่วๆ ไป จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดได้ง่าย
...
อาการมะเร็งที่หลายคนมองข้าม อาจคือสัญญาณเตือนของร่างกาย
หลายคนอาจมองข้ามอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะคิดว่าเป็นแค่อาการธรรมดา แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้ บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งที่กำลังค่อยๆ คืบคลานโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะไม่ได้หมายความว่าอาการเหล่านี้จะไม่ได้นำไปสู่มะเร็งเสมอไป แต่ก็ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด โดยอาการที่ควรจะสังเกต มีดังนี้
- อาการเจ็บปวดที่หาสาเหตุไม่ได้ และไม่หายไปเอง
- เจอเลือดออกในที่ผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
- การขับถ่ายเปลี่ยนแปลง หรือมีการปัสสาวะที่ผิดปกติ
- น้ำหนักลดหรือเพิ่มเอง โดยไม่มีสาเหตุ
- ไอเรื้อรัง หรือมีอาการเจ็บคออย่างต่อเนื่อง
- พบแผล หรือก้อนบนผิวหนังที่ไม่ยอมหาย มีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่าง
- พบส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมีรูปร่าง หรือรู้สึกว่าผิดปกติ
ลดความเสี่ยง เพิ่มการสังเกต ใครบ้างที่เสี่ยงมะเร็ง
นอกจากอาการมะเร็งเบื้องต้น อีกหนึ่งจุดที่สามารถลดความเสี่ยงได้คือการเฝ้าระวังบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง จริงอยู่ที่ว่าใครก็สามารถเป็นมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีกลุ่มคนที่เสี่ยงสูงอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป : เพราะอายุที่มากขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสที่เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ได้
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง : เนื่องจากพันธุกรรมบางชนิด (เช่น BRCA1/2) สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
- ผู้สูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ควันบุหรี่ : สารเคมีในควันบุหรี่ ไม่ว่าจะมาจากการสูดดมผ่านผู้อื่น หรือสูบด้วยตัวเองจะไปทำให้เกิดการกระตุ้นของเซลล์ได้
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ : หากดื่มอย่างต่อเนื่อง หรือนานๆ ทีครั้ง แต่ในปริมาณที่มาก แอลกอฮอล์ก็สามารถเข้าไปทำลายเซลล์ตับและเยื่อบุทางเดินอาหารได้
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบางชนิด : เช่น HPV, HBV, HCV เพราะไวรัสเหล่านี้จะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะยาว
- ผู้ที่มีพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม : การกินอาหารแปรรูป, ปิ้งย่าง, ไขมันสูง และผักผลไม้ไม่เพียงพอหรือกินอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินความพอดี อาจทำให้ระบบในร่างกายแปรปรวน และเกิดโรคร้ายได้
- ผู้ที่ทำงานหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารพิษ/สารก่อมะเร็ง : สารเสี่ยงที่มักเจออย่าง แร่ใยหิน (Asbestos), เบนซีน หรือสารเคมีในโรงงาน เมื่อสะสมมากๆ ในร่างกาย ก็มักจะเกิดผลเสียตามมา
ตรวจมะเร็งอย่างไร ถึงจะสามารถป้องกัน และรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
การตรวจมะเร็งเป็นวิธีสำคัญในการค้นหาโรคตั้งแต่ระยะแรก แม้ยังไม่มีอาการใดๆ ในบางคนอาจรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ฟังหรืออ่านแล้วดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วการเข้ามาตรวจหามะเร็งโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เช็กแล้วชัวร์ที่สุดในการเจอเชื้อมะเร็ง เพราะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา และลดความเสี่ยงในการเกิดโรค แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถที่จะเข้ารับการตรวจมะเร็งเพื่อความมั่นใจในสุขภาพได้ หรือหากไม่มีอาการที่คิดว่าเสี่ยง และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ก็สามารถมาตรวจเช็กสุขภาพในทุกๆ ปีอย่างสม่ำเสมอได้เช่นเดียวกัน เพราะมะเร็งหลายชนิดมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก หลายคนจึงมองข้ามอาการมะเร็งที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ การตรวจมะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความเสี่ยงในการลุกลามของโรค เพราะการรู้ให้ทันนั้นย่อมดีกว่ารอให้สายเกินไป
ข้อมูลโดย : All You Can Check ศูนย์มะเร็ง (ชีวีสุข) โรงพยาบาลพญาไท 1
...