“โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder-MDD)” เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเด่นด้านอารมณ์ผิดปกติ ในลักษณะเศร้า หดหู่ใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีอาการแสดงด้านความคิด ตลอดจนด้านพฤติกรรมและด้านร่างกาย

โดยเกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยต้องไม่เคยมีประวัติโรคอารมณ์สองขั้ว และมีอาการอย่างน้อย 5 ข้อจากอาการเหล่านี้ ได้แก่

  • อารมณ์ซึมเศร้าเกือบทั้งวัน
  • หมดความสนใจสิ่งต่าง ๆ อย่างมาก
  • เบื่ออาหารหรือกินจุขึ้น
  • นอนไม่หลับหรือหลับมากกว่าปกติ
  • อาการทางร่างกายดูกระสับกระส่ายหรือเชื่องช้า
  • อ่อนเพลีย
  • รู้สึกตนเองไร้ค่า
  • สมาธิลดลง
  • คิดเรื่องการตายหรือฆ่าตัวตาย

อาการเป็นต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และทำให้ทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่งหรือการทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ บกพร่องอย่างชัดเจน

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร

สาเหตุของโรคซึมเศร้า เชื่อว่าเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน ได้แก่

  1. ปัจจัยทางชีวภาพ เช่น พันธุกรรม สารส่งผ่านประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ความผิดปกติทางสรีรวิทยา
  2. ปัจจัยด้านจิตสังคม เช่น สภาพแวดล้อม ภาวะเครียด กดดันหรือเหตุการณ์สะเทือนใจ บุคลิกภาพที่มักมีแนวคิดลบต่อตนเองและโลก

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการของโรคซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย ตลอดจนส่งผลต่อคนรอบข้าง อาจมีอาการรุนแรง จนถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเองได้ นอกจากนี้ อาจมีโอกาสกลับมามีอาการของโรคซ้ำได้สูง

แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้า

การรักษาโรคซึมเศร้า มีทั้งการรักษาด้วยยา โดยยาหลักจะเป็นกลุ่มยาต้านเศร้า และหากมีอาการทางจิต เช่น อาการหลงผิด เสียงแว่ว แพทย์จะให้ยารักษาโรคจิตควบคู่ไปด้วย และมีการทำจิตบำบัด เช่น ความคิดและพฤติกรรมบำบัด

อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ป่วยจำนวนประมาณ 1 ใน 3 ไม่ตอบสนองต่อการรักษา และบางรายมีข้อจำกัดในการใช้ยาเนื่องจากผลข้างเคียง แพทย์จะพิจารณาทางเลือกอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation-TMS)”

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

“TMS” เป็นการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยการใช้ขดลวดแม่เหล็กวางไว้เหนือศีรษะบริเวณที่ต้องการกระตุ้น คลื่นแม่เหล็กนี้จะเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไปกระตุ้นเซลล์ประสาทในบริเวณ Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ที่มักทำงานลดลงในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า การกระตุ้นนี้จะช่วยปรับสมดุลการทำงานของวงจรประสาทและสารส่งผ่านประสาทโดยรวมให้ดีขึ้น

ขั้นตอนและวิธีการรักษา

โดยทั่วไปผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ ประมาณ 3-6 สัปดาห์ (แล้วแต่รูปแบบของการกระตุ้น) โดยแพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วยอย่างละเอียด ประเมินรูปแบบการกระตุ้น การกำหนดตำแหน่งและระดับความแรงของคลื่นแม่เหล็กอย่างละเอียดก่อนเริ่มการรักษา โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาจะมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานพยาบาล

ผลการรักษาด้วย TMS มีการศึกษาที่รับรองว่า TMS สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ดื้อยา เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยาสลบ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงด้านความจำ เหมือนการรักษาด้วยไฟฟ้า (ECT) ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามในการทำ TMS ได้แก่ ผู้ที่มีอุปกรณ์ฝังในร่างกาย โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น 

  • เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker)
  • เครื่องกระตุ้นสมอง/เส้นประสาท
  • ประสาทหูเทียม หรืออุปกรณ์โลหะ เช่น คลิปอุดหลอดเลือด, โลหะเชื่อมกระดูก, หรือเครื่องระบายน้ำในโพรงสมอง 
  • ผู้ที่มีประวัติการชัก โดยเฉพาะอาการชักที่ควบคุมไม่ได้

...

คำแนะนำเพิ่มเติม คือ TMS ในการรักษาโรคซึมเศร้า ควรเป็นการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามแผน และอาจมีการใช้ยา หรือการทำจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย เพื่อผลการรักษาในระยะยาว

แหล่งข้อมูล: รศ. พญ.ธนิตา ตันตระรุ่งโรจน์ สาขาจิตเวชศาสตร์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล