มะเร็งเต้านมยังคงเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ราว 17,043 คนต่อปี หรือคิดเป็นผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ย 47 คนต่อวัน ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดยกรมการแพทย์และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ รายงานล่าสุดพบว่ามีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ยราว 13 คนต่อวัน หรือประมาณ 4,700 กว่าคนต่อปี ซึ่งตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงมะเร็งเต้านม

ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดโดยส่วนใหญ่จะมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมะเร็งเต้านมมีหลายชนิด สามารถแบ่งได้หลายแบบตามลักษณะทางพยาธิวิทยาและทางชีวโมเลกุล ที่มีลักษณะและแนวทางการรักษาแตกต่างกันไป

มะเร็งเต้านม ชนิด Triple Negative (TNBC) เป็นมะเร็งเต้านมชนิดลุกลามที่พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิดนี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้บ่อยประมาณ 9-13% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด โดยมักพบในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 40 ปี

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

ชื่อ "Triple Negative" หมายถึงการที่เซลล์มะเร็งไม่มีตัวรับ (Receptors) หรือโปรตีนที่ช่วยให้มะเร็งเติบโตและแพร่กระจายครบทั้งสามชนิด ได้แก่

  • ไม่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen Receptor หรือ ER)
  • ไม่มีตัวรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone Receptor หรือ PR)
  • ไม่มีตัวรับ HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2) หรือมีในระดับที่ต่ำมาก

การขาดตัวรับเหล่านี้ทำให้การรักษาด้วยยาที่พุ่งเป้าไปที่ตัวรับเหล่านี้ (เช่น ยาฮอร์โมน หรือยาต้าน HER2) ไม่ได้ผล ทำให้ Triple Negative เป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่รักษาได้ยากกว่า แต่การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาต้านมะเร็งบางชนิดร่วมกันอาจช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้

แพทย์สามารถทราบชนิดมะเร็งเต้านม Triple Negative ได้จากการเจาะชิ้นเนื้อมะเร็งเต้านม (biopsy) เพื่อตรวจหาตัวรับทั้ง 3 ชนิด โดยการย้อมพิเศษและไม่เจอตัวรับทั้ง 3 ชนิด

ผลการตรวจชิ้นเนื้อและการย้อมพิเศษของตัวรับทั้งสามชนิด จะให้ข้อมูลสำคัญในการเลือกวิธีการรักษาสำหรับโรคมะเร็งเต้านม ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกราย 

  • ควรได้รับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อหาชนิดของมะเร็งเต้านมก่อนเริ่มการรักษารวมถึงการผ่าตัด เนื่องจากมะเร็งเต้านมแต่ละชนิดมีวิธีการรักษา และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันไป
  • ควรทำการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับชนิดของมะเร็งเต้านมก่อนตัดสินใจทำการผ่าตัด
  • การทราบชนิดของมะเร็งเต้านมจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้

การรักษามะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative

เนื่องจากมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ไม่มีทั้งตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ER) โปรเจสเตอโรน (PR) และตัวรับเฮอร์ทู (HER-2) จึงไม่สามารถใช้ยาต้านฮอร์โมน และยาต้านเฮอร์ทูได้ การรักษามะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยจะพิจารณาจาก ขนาดของก้อนมะเร็ง, การแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ

เมื่อทราบระยะของมะเร็งเต้านมแล้ว สามารถพิจารณาการรักษาได้ตามระยะของโรค ดังนี้

ระยะที่หนึ่ง

คือ ระยะที่ก้อนมะเร็งที่เต้านมมีขนาดไม่เกินสองเซนติเมตร และตรวจไม่พบมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การรักษาคือ จะใช้วิธีการผ่าตัดเต้านมและพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดหลังผ่า

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ระยะที่สอง ระยะที่สาม

คือ ระยะที่ก้อนมะเร็งที่เต้านมมีขนาดเกินสองเซนติเมตร (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง) หรือตรวจพบว่ามีการกระจายมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การรักษาคือ การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด และอาจจะให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดก่อนการผ่าตัดร่วมด้วย และตามด้วยการผ่าตัดเต้านมรวมถึงต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ในผู้ป่วยบางรายอาจจะพิจารณาให้ยาต่อหลังผ่าตัดด้วย

ระยะที่สี่

คือ ระยะที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น การรักษาจะให้ยาเคมีบำบัดเป็นหลัก แพทย์อาจให้การรักษาเสริมด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบว่ามีโปรตีนที่ชื่อว่า PD-L1 (Programmed death-ligand 1) ตั้งแต่ 10 คะแนนขึ้นไป

...

การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant chemotherapy)

สำหรับโรคมะเร็งเต้านมระยะต้น การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน แต่การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัดในมะเร็งเต้านมชนิด triple negative ระยะที่สอง และระยะที่สาม มีข้อดีหลายอย่าง ได้แก่

1. ช่วยให้การผ่าตัดทำได้ง่ายขึ้น

การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าทำให้ก้อนมะเร็งเต้านมมีขนาดเล็กลง สามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้านมได้ ทำให้ผู้ป่วยยังคงมีเต้านมหลังผ่าตัดได้

รวมถึงการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การให้ยาเคมีบำบัดก่อนจะทำให้ก้อนที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดเล็กลง ลดการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด ความเสี่ยงที่จะแขนบวมหลังผ่าตัดจึงลดลง

2. ช่วยประเมินผลการตอบสนองต่อยา

การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัดในขณะที่ยังมีก้อนที่เต้านมอยู่ ทำให้ระหว่างที่ให้ยาเคมีบำบัด สามารถตรวจติดตามขนาดก้อนได้ว่า ระหว่างให้ยาก้อนเล็กลงไปแค่ไหน และมีการตรวจแมมโมแกรมเพิ่มเติม เพื่อประเมินการตอบสนองของโรคได้ เป็นการทดสอบว่าการรักษาที่ให้ไปได้ผลหรือไม่

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

ถ้าขนาดก้อนยังไม่เล็กลงหรือยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็อาจจะมีการปรับยา หรือวางแผนการรักษา ในขั้นตอนต่อไปหลังผ่าตัดได้ว่าจะมีการให้อะไรเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ดีขึ้นได้ เปรียบเทียบกับการที่ผ่าตัดไปแล้ว และให้ยาเคมีบำบัดทีหลังจะไม่มีก้อนมะเร็งเหลือให้ติดตามการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดได้

3. ช่วยวางแผนการรักษาในขั้นตอนต่อไป

แพทย์จะพิจารณาผลการตอบสนองต่อยาที่ให้ก่อนผ่าตัดเพื่อปรับแผนการรักษา เช่น หากให้ยาเคมีบำบัดแล้ว หลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านม ถ้าไม่มีรอยโรคมะเร็งเต้านมเหลืออยู่เลย กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้มีการพยากรณ์โรคที่ดีมาก

แต่หากตรวจพบว่ายังมีรอยโรคมะเร็งเต้านมอยู่ แสดงว่าตอบสนองไม่ดีต่อการให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่า จะมีการให้ยาเพิ่มเติมหลังผ่าตัด เพื่อให้เพิ่มระยะเวลาการควบคุมโรคได้

สำหรับโรคมะเร็งเต้านมชนิด triple negative ระยะที่สอง ระยะที่สาม ที่มีการวางแผนให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด นอกเหนือจากยาเคมีบำบัดที่มีประสิทธิภาพดีแล้ว ยังมียาในกลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดที่ให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มอัตราการตอบสนองของตัวโรคมะเร็ง และระยะเวลาการกลับมาของตัวโรคมะเร็งได้ด้วย ทั้งนี้ต้องปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลเป็นหลัก เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีรายละเอียดของโรคที่แตกต่างกัน

ภูมิคุ้มกันบำบัดกับการรักษามะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative

กลไกการทำงานของยาภูมิคุ้มกันบำบัด

ภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายในการกำจัดเซลล์มะเร็ง ในภาวะปกติสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย เช่น เชื้อโรค จะถูกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำจัด แต่พบว่าเซลล์มะเร็งที่จัดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายไม่ถูกกำจัดโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย

...

โดยที่การศึกษาพบว่าเซลล์มะเร็งขัดขวางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตัวรับเช็คพอยต์ (immune checkpoint receptor) บนเซลล์มะเร็งจับกับตัวรับเช็คพอยต์บนเซลล์เม็ดเลือดขาว จะมีผลยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และมีผลให้เซลล์มะเร็งไม่ถูกทำลาย

เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยายับยั้งการทำงานที่อิมมูนเช็คพอยต์ (immune checkpoint inhibitors) ที่เป็นยาที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีกลไกการทำงาน โดยยับยั้งกระบวนการที่เซลล์มะเร็งขัดขวางการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวกลับมาทำงานได้ปกติและสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้ที่ ภูมิคุ้มกันบำบัด – about Thai cancer

ข้อบ่งชี้ของยาภูมิคุ้มกันบำบัดในการรักษามะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative

ปัจจุบันยาภูมิคุ้มกันบำบัดมีข้อบ่งใช้ที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยา ให้ใช้รักษาได้ในมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ทั้งระยะต้นและระยะแพร่กระจาย ทั้งนี้หากท่านตรวจพบเป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน

ตามข้อมูลของ National Cancer Institute เผยว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative โดยเฉลี่ยมีโอกาสรอดชีวิตนานอย่างน้อย 5 ปี หลังการวินิจฉัย คิดเป็นประมาณ 77% เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้เป็น TNBC

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราการรอดชีวิตนี้เป็นเพียงภาพรวม และไม่ได้บ่งชี้ว่าแต่ละบุคคลจะอยู่ได้นานเท่าใด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งจะสามารถอธิบายความหมายของอัตราการรอดชีวิตในบริบทของสถานการณ์เฉพาะของคุณได้ดีที่สุด

ที่มา: พญ.ปิยวรรณ เทียนชัยอนันต์ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี, Cleveland Clinic