“การฉายรังสีร่วมพิกัด (stereotactic radiotherapy)” เป็นเทคนิคการฉายรังสีรักษาก้าวหน้าที่มีความถูกต้องและแม่นยำสูงมาก สามารถฉายครั้งเดียว หรือแบ่งฉายหลายครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลตอบสนองทางรังสีชีวะที่สูงสุดต่อเป้าหมาย และลดปริมาณรังสีต่ออวัยวะข้างเคียงให้น้อยที่สุด ปัจจุบัน ได้รับการยอมรับถึงประสิทธิภาพและมีการนำมาใช้รักษาโรคต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย
การฉายรังสีร่วมพิกัด เป็นการฉายรังสีจากภายนอกที่ใช้เครื่องเร่งอนุภาคชนิดทั่วไป หรือเครื่องฉายเฉพาะเจาะจงที่มีเทคโนโลยีที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการฉายรังสีร่วมพิกัด อีกทั้งยังเป็นการฉายรังสีที่หวังผลให้รอยโรคเฉพาะที่หายขาด
ข้อบ่งชี้ทั่วไปในการฉายรังสีร่วมพิกัดสมอง
1. เป็นการรักษาหลัก ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงจากการผ่าตัด รอยโรคอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ยาก มีการกลับเป็นซ้ำหลังผ่าตัด และผู้ป่วยปฏิเสธการผ่าตัด
2. เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เช่น การผ่าตัด การฉีดสีอุดหลอดเลือด การให้ยาทั้งระบบ
3. กรณีต้องการเทคนิครังสีที่มีความถูกต้องและแม่นยำสูง เพื่อลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติ เช่น กรณีรอยโรคขนาดเล็กอยู่ใกล้อวัยวะที่สำคัญ กรณีฉายรังสีซ้ำ
การฉายรังสีร่วมพิกัดที่ใช้ทางคลินิก มีดังนี้
1. เนื้องอกสมอง
- เนื้องอกชนิดไม่ร้าย เช่น เนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง เนื้องอกเส้นประสาทสมอง เนื้องอกเส้นประสาทหู เนื้องอกต่อมใต้สมอง เนื้องอกหลอดเลือดสมองชนิด hemangioblastoma เนื้องอกสมองชนิด craniopharyngioma
- เนื้องอกชนิดร้าย เช่น มะเร็งชนิดแพร่กระจายมาที่สมอง มะเร็งสมองชนิดปฐมภูมิ
...
2. ความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติแต่กำเนิดชนิด arteriovenous malformation (AVM) โรคหลอดเลือดสมองชนิด dural arteriovenous fistula (AVF)
3. ภาวะความผิดปกติทางระบบประสาทชนิดอื่น เช่น ภาวะปวดเส้นประสาทไทรเจมินัล (trigeminal neuralgia)
4. ภาวะความผิดปกติของสมองชนิดอื่น เช่น โรคพาร์กินสัน โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ
การเลือกใช้เทคนิคทางรังสีร่วมพิกัดจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วย ได้แก่ สภาพร่างกาย อายุ และโรคประจำตัว
2. ปัจจัยเกี่ยวกับรอยโรค ได้แก่ ชนิด ขนาดหรือปริมาตร ตำแหน่ง
3. ปัจจัยเกี่ยวกับอวัยวะข้างเคียง ได้แก่ ชนิดและความไวต่อรังสี ปริมาตร
การเลือกใช้เทคนิครังสีร่วมพิกัดแก่ผู้ป่วยนั้น ควรพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนและเหมาะสม อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่ออวัยวะข้างเคียงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการฉายด้วยรังสีปริมาณสูง ผู้ป่วยจึงควรได้รับการดูแลแบบสหสาขา เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ทำให้การรักษาได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อยและเกิดประโยชน์สูงสุด
แหล่งข้อมูล รศ. พญ.พุฒิพรรณ พัวทวีพงศ์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล