กาแฟ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องควรระมัดระวัง เนื่องจาก สารคาเฟอีนในกาแฟ สามารถทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ และฮีตสโตรกได้ในช่วงที่อากาศร้อนจัด

ฤดูร้อนของประเทศไทยในปีนี้เรียกได้ว่า “ร้อนสุดๆ” ซึ่งมีอุณหภูมิ ทำลายสถิติสูงสุดที่ 44 องศา ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก ก็เคยมาแล้วในปี 2566 ที่ผ่านมา และคาดจะร้อนอีกเรื่อยๆ ในช่วงเดือนเมษายนที่เป็นฤดูร้อนของประเทศไทย 

อากาศที่ร้อนอบอ้าว พร้อมกับแดดที่แรงจัดทำให้เกิดภาวะ และโรคต่างๆ ที่มาจากความร้อนได้มากมาย โดยมีโรคที่พบบ่อยสุดอย่างฮีตสโตรก (โรคลมแดด) โรคประจำฤดูร้อนที่ควรเฝ้าระวังที่สุดในตอนนี้ สามารถคร่าชีวิตของคนได้ รวมถึงภาวะขาดน้ำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจ และควรเฝ้าระวังไม่แพ้กัน

ล่าสุดทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเตือนภัยสำหรับผู้ที่มีเมนูโปรดเป็นเครื่องดื่มเมนูกาแฟ ที่ในช่วงที่อากาศร้อนๆ ง่วงๆ ก็ต้องหนีไม่พ้นกาแฟสักแก้วให้มาช่วยสร้างความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่กลับกันนั้นการดื่มกาแฟ ในช่วงอากาศร้อนจัด เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะร่างกายขาดน้ำ และเกิดฮีตสโตรก ได้

‘สารคาเฟอีน’ ที่อยู่ในกาแฟ เป็นสาเหตุหลักของเรื่องนี้เนื่องจากหากคนเรารับประทานคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไป (Caffeine Overdose) จะส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ โดยตัวคาเฟอีนจะลดการดูดน้ำกลับตอนผ่านเข้าไปในไต ทำให้ไตขับน้ำออกมาเยอะขึ้น กระตุ้นการปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งหากไม่ดื่มน้ำเปล่าทดแทนเข้าไป โดยเฉพาะในอากาศร้อนจัด อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ และเกิดฮีตสโตรกได้

นอกจากนี้ ‘คาเฟอีน’ ยังมีอยู่ในเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ นอกจากกาแฟ เช่น น้ำชา น้ำอัดลม โกโก้ และเครื่องดื่มชูกำลัง ปริมาณการบริโภคที่แนะนำต่อวัน จำกัดไม่เกิน 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟถึง 3-4 แก้ว 

...

‘วิธีการดื่มกาแฟ’ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ และฮีตสโตรก

  • ควรดื่มกาแฟ ไม่เกิน 2-3 แก้วต่อวัน (เผื่อโอกาสได้รับคาเฟอีนจากแหล่งอาหารอื่นในระหว่างวัน)
  • เลือกดื่ม กาแฟดำ เพื่อลดน้ำตาล และไขมัน 
  • ไม่ดื่มกาแฟร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดอื่น 
  • หลังดื่มกาแฟควรตามด้วยน้ำเปล่า ที่นอกจากจะช่วยขับสารคาเฟอีนแล้ว ยังทำให้คราบเหลืองของกาแฟหมดไปด้วย

ข้อมูล : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ภาพ : istock