ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย ที่ทำให้หลายคนกำลังเร่งหาคำตอบให้กับตัวเองหนักขึ้น ว่าต้องเตรียมพร้อมอย่างไร ที่ไม่ใช่แค่การรับมือเท่านั้น แต่เพื่อพัฒนาตัวเอง และพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้ด้วย

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และประธานคณะกรรมการ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น มองว่าปัญหาในโลกที่กำลังเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบกับคนในวงกว้างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แต่ความหวังยังมี หากเรามีการปรับตัวเรื่องที่สำคัญที่สุด คือการศึกษา โดยสร้างทุนมนุษย์ที่มี Growth Mindset ซึ่งมีแนวคิดสำคัญ ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หากมีความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค กล้าเผชิญปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมทดลองสิ่งใหม่ๆ เป็นต้น

“การศึกษาจะสร้างทุนมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้ โดยเฉพาะการพัฒนาให้มี Growth Mindset ที่เป็นแนวคิดที่ว่าทุกคนเป็นนักพัฒนา นักค้นคว้าได้ เด็กทุกคนควรถูกสอนมาให้ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในองค์กรใหญ่หรือทำงานของตัวเอง ก็คิด ค้นคว้า ริเริ่มทำเรื่องใหม่ได้ตลอด ถ้าทำได้แต่ละปีก็จะมีเด็กจบใหม่เข้าสู่ระบบการทำงาน 5 แสนคนก็จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้”

แม้ต้องใช้เวลา แต่ก็ต้องทำให้ประเทศไทย และคนไทยเชื่อมั่นว่ามีความสามารถคิดและทำสิ่งใหม่ๆ ได้ แม้โลกจะมีความสั่นคลอน แต่หากเรากล้าลอง ไม่ย่อท้อก็จะรับมือกับวิกฤติต่างๆ ได้

อย่างเช่นล่าสุด โลกปั่นป่วนกับสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการขึ้นภาษีเป็นอาวุธ และหากยังถล่มกันไม่หยุด สุดท้ายจะกระทบต่อเศรษฐกิจ และปากท้องของชาวอเมริกันเอง จนอาจเกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก แต่ในมุมมองของศุภชัย เห็นว่า โอกาสของประเทศไทยยังมีที่มาจากส้มหล่น 2 เรื่อง ที่เราต้องเร่งพัฒนาคนของเราเพื่อคว้าโอกาสนี้ไว้

...

เรื่องแรก คือ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย และประเทศไทยยังเป็นทางเลือกในการเป็นฐานการผลิตมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากไทยรักษาผลประโยชน์จากส้มหล่นนี้ได้ เช่น การตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที ควรตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วย และเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยในไทย เพื่อดึงให้คนมาเรียนในไทย ก็จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาเทคโนโลยีนี้ สร้างคนไทย และดึงบุคลากรจากทั่วโลกมาทำงานในไทยได้

เรื่องที่สอง คือต่างชาติเลือกที่จะมาตั้งฐานการผลิตในไทย ที่หากกำหนดเงื่อนไขที่ดี เช่น ไม่ควรให้ต่างชาติถือหุ้น 100% และมีการกำกับดูแลที่โปร่งใส โดยเฉพาะการสนับสนุนมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีที่ควรกำหนดให้ไทยเก็บภาษีรายได้จากการลงทุนของต่างชาติได้บ้าง รวมไปถึงเงื่อนไขที่มีสัดส่วนในการจ้างแรงงานของไทยด้วย ก็จะทำให้คนไทยมีโอกาสที่ดีด้วย

เรียกได้ว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก โอกาสของประเทศไทยยังไม่หมดไป โจทย์ที่เหลือจึงเป็นการพัฒนาระบบ และโครงสร้างการกำกับดูแลที่ดี และที่สำคัญการพัฒนาทุนมนุษย์ที่พร้อมพากันก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรง