นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าตกใจ โดยโซน "แสงส่องผ่าน" (Photic Zone) ซึ่งเป็นบริเวณที่แสงแดดสามารถส่องผ่านลงไปในน้ำได้และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลถึง 90% กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 20 ปี 

โซนสำคัญนี้ได้ลดขนาดลงไปถึงหนึ่งในห้าของมหาสมุทรทั่วโลก และในบางพื้นที่ มีการลดลงรุนแรงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งเป็นที่น่ากังวลเพราะโซนสำคัญนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่หล่อเลี้ยงสัตว์ใต้น้ำที่สำคัญเป็นอย่างมาก

การลดตัวลงของโซนแสงส่องผ่านใต้ทะเล ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต และสภาพอากาศ

การหดตัวของโซนแสงส่องผ่านนี้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและสภาพอากาศของโลก เนื่องจากโซนนี้คือบ้านของ แพลงก์ตอนพืช ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อโลก และสัตว์ใต้ท้องทะเล เพราะ แพลงก์ตอนพืชสามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

นอกจากนี้ พวกมันยังผลิตออกซิเจนให้กับโลกมากถึงครึ่งหนึ่งที่เราหายใจ อีกทั้งยังช่วยหล่อเลี้ยงห่วงโซ่อาหาร โดยแพลงก์ตอนพืชเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร ซึ่งค้ำจุนสต็อกปลาทั่วโลกและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของเรา

หากโซนนี้ยังคงหดตัวต่อไป จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และแน่นอนว่ากระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

การที่โซนแสงส่องผ่าน ในมหาสมุทรหดตัวลง หรือที่เรียกว่า "มหาสมุทรมืดลง" (Ocean Darkening) เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติทางแสงของน้ำทะเล ทำให้แสงส่องผ่านลงไปได้น้อยลง โดยมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้:

การเพิ่มขึ้นของสารแขวนลอยและสารอินทรีย์ในน้ำ เช่น น้ำทิ้งจากเกษตรกรรม และพื้นที่ชุมชน โดยการไหลบ่าของสารอาหาร (ปุ๋ย) และสารอินทรีย์จากภาคเกษตรกรรมและชุมชนลงสู่แม่น้ำและไหลลงสู่มหาสมุทร ทำให้เกิดปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (Algal Blooms) อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งและทะเลปิด สาหร่ายจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะไปบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องผ่านลงไปได้ลึกเท่าเดิม

...

นอกจากนี้ ตะกอนดินและสารอินทรีย์ ซึ่งเกิดจากการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การกัดเซาะชายฝั่ง และน้ำท่วมที่พัดพาตะกอนดินและสารอินทรีย์ต่างๆ ลงสู่ทะเล ทำให้ความขุ่นของน้ำเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการทะลุผ่านของแสง

รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของชุมชนแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สังเคราะห์แสง อาจส่งผลต่อสีของน้ำและการส่องผ่านของแสงได้ โดยอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงของสารอาหารในมหาสมุทร

ปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม แม้แพลงก์ตอนพืชจะสำคัญ แต่การเกิดแพลงก์ตอนบลูมที่มากเกินไป สามารถทำให้เกิดสีขุ่น ก็สามารถลดการส่องผ่านของแสงได้

ที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและกระแสน้ำในมหาสมุทร จากภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการแบ่งชั้นของน้ำ (stratification) ทำให้น้ำชั้นบน และชั้นล่างผสมกันได้น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของสารอาหารและพลวัตของแพลงก์ตอน

การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ ก็สามารถส่งผลต่อการกระจายตัวของสารอาหารและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความขุ่นของน้ำและปริมาณแสงที่ส่องผ่านได้ โดยเฉพาะในบริเวณกระแสอ่าว (Gulf Stream) และพื้นที่ใกล้ขั้วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ยังไม่รวมถึงมลพิษจากพลาสติกและไมโครพลาสติก ที่แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสาเหตุหลักโดยตรง แต่ไมโครพลาสติกและอนุภาคขนาดเล็กอื่นๆ ในน้ำทะเล อาจมีส่วนในการเพิ่มความขุ่นและลดการส่องผ่านของแสงได้เช่นกัน พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยรวม เช่น การละลายของธารน้ำแข็งที่นำพาน้ำจืดและตะกอนลงสู่ทะเล หรือการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบฝน ก็อาจมีส่วนทำให้โซนแสงส่องผ่านหดตัวลงในบางพื้นที่

การหดตัวของโซนแสงส่องผ่าน เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในมหาสมุทร ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งหมด รวมถึงความสามารถของมหาสมุทรในการผลิตออกซิเจนและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

ข้อมูล : worldeconomicforum