ปัจจุบันเกิดการโต้เถียงกันอย่างมากเรื่อง AI ที่จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ หลายคนเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับตำแหน่งงานของตัวเอง และลึกๆ แล้วก็อยากจะลองเปลี่ยนไปทำอะไรที่ใช่กว่า แต่ก็แผนนี้ต้องพับไปเพราะกลัวเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่อาจจะไม่เพียงพอได้ในอนาคต และความเสี่ยงที่มากมาย

ผลสำรวจล่าสุดจาก Resume Now ยืนยันความรู้สึกนี้ชัดเจน โดยมีพนักงานกว่า 66% เชื่อว่าการได้เปลี่ยนสายงานจะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น แต่มีเพียง 13% เท่านั้นที่กล้าลงมือทำจริง

สิ่งนี้แสดงถึงความกังวล หนึ่งในเรื่องใหญ่ คือ "เงิน" ที่ก่อกำแพงใหญ่ที่สุด ทั้งกลัวเงินเดือนลด (35%) และกลัวความไม่มั่นคงทางการเงิน (34%)

ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่กำลังติดอยู่ใน "ทางตันของอาชีพ" (Career Gridlock) และฝันถึงเส้นทางใหม่ที่ใช่กว่าเดิม ข่าวดีคือคุณไม่จำเป็นต้องทุบหม้อข้าวเพื่อเดินตามฝัน 

ทั้งหมดนี้ คือ 3 สเต็ปที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนผ่านสู่โลกอาชีพใหม่ได้อย่างมั่นคงและชาญฉลาด

วิธีที่ 1 "ชิมลาง" เส้นทางใหม่...โดยที่งานเก่ายังอยู่

ก่อนจะยื่นใบลาออก ลองเปลี่ยนบทบาทตัวเองเป็น "นักสำรวจ" ในสายงานที่คุณใฝ่ฝัน โดยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ที่สุด เช่น หากอยากเปลี่ยนตัวเองไปสายมาร์เก็ตติ้ง อาจจะลองอาสาทำการตลาดให้โปรเจกต์ที่คุณสนใจ หรือช่วยธุรกิจเล็กๆ ของเพื่อน

ฝันอยากเป็นนักเขียน ก็อาจจะเริ่มจากเขียนบทความลงบล็อกส่วนตัว หรือรับงานฟรีแลนซ์เล็กๆ น้อยๆ หรือหากสนใจงาน Tech อาจจะเลือกเข้าร่วมงาน Meetup หรือฟังสัมมนาออนไลน์ เพื่อดูว่าคนในวงการเขาคุยอะไรกัน แล้วพิจารณาตัวเองเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

ข้อดีของวิธีนี้ คือ สามารถพิสูจน์ความชอบของตนเองได้ว่าคำตอบที่ได้มานั้นรักงานนั้นจริงๆ หรือแค่คิดว่ารัก ก่อนที่จะเสี่ยงเต็มตัว

...

รวมถึงการได้ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เปรียบเสมือนใบเบิกทางชั้นดีในการสัมภาษณ์งานในอนาคต พร้อมทั้งยังได้สร้างคอนเนกชัน กับคนที่คุณพบเจอระหว่างทาง คือเครือข่ายที่จะนำพาโอกาสดีๆ มาให้ในวันที่คุณพร้อมและที่สำคัญที่สุด คือ เงินเดือนจากงานประจำยังคงเข้ากระเป๋าทุกเดือน

วิธีที่ 2 อัปสกิลแบบ "สมาร์ท" ความรู้ดีๆ ไม่จำเป็นต้องแพง

อย่าเพิ่งรีบร้อนลงคอร์สเรียนราคาแพงหรือสมัครเรียนปริญญาใบใหม่ ลองเริ่มต้นจากการเรียนรู้แบบ "บุฟเฟ่ต์" ที่เลือกชิมได้หลากหลายและสบายกระเป๋า เช่น แทนที่จะไปงานประชุมใหญ่ ลองเข้าร่วมงาน Meetup เล็กๆ ในพื้นที่ก่อน หรือแทนที่จะลงคอร์สยาวๆ อาจจะเปลี่ยนเป็นการหาหนังสือดีๆ จากห้องสมุดมาอ่าน หรือดูคลิปสอนฟรีบน YouTube หรือลองเข้าเรียนคลาสสั้นๆ ทำ Workshop เพื่อค้นหาสิ่งที่ใช่จริงๆ แทน

การเริ่มต้นแบบนี้จะช่วยให้ตกผลึก ความรู้ได้เฉียบคมขึ้น คุณอาจได้เจออาจารย์ที่แนะนำแนวทางใหม่ๆ หรือเจอเพื่อนในวงการที่ชวนไปทำโปรเจกต์เจ๋งๆ ซึ่งอาจให้ประสบการณ์ได้ดีกว่าการเรียนในห้องเรียนเสียอีก

วิธีที่ 3 ส่อง "อนาคตการเงิน" ก่อนตัดสินใจก้าวเต็มตัว

เมื่อมั่นใจแล้วว่าเส้นทางใหม่นี้คือทางของคุณจริงๆ ก็ถึงเวลาวางแผนการเงินให้รอบคอบ เช่น การสำรวจตลาดอาชีพนั้นๆ มีเงินเดือนเฉลี่ยในสายงานใหม่นี้อยู่ที่เท่าไหร่ โอกาสเติบโตเป็นอย่างไร พร้อมวิเคราะห์งบประมาณส่วนตัว เพราะหากต้องลดเงินเดือนลงเล็กน้อย คุณยังใช้ชีวิตได้สบายดีอยู่ไหม ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นมีอะไรบ้าง 

นอกจากนี้การคำนวณต้นทุน เช่น หากต้องเรียนต่อ จะใช้เงินเท่าไหร่ จ่ายด้วยเงินสดหรือต้องกู้ยืม การมองเห็นภาพการเงินที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงลงได้มหาศาล

สุดท้ายแล้วความเสี่ยงที่แท้จริงคือการ "ไม่ทำอะไรเลย" 

แน่นอนว่าการเปลี่ยนอาชีพมีความเสี่ยงที่คุณอาจไม่ชอบงานใหม่เท่าที่คิด หรือรายได้อาจไม่เป็นไปตามคาด แต่การยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วก็เสี่ยงไม่แพ้กัน

ความมั่นคงในยุคนี้ไม่ใช่การเกาะตำแหน่งเดิมไว้แน่น แต่คือการ "พร้อมปรับตัว" อยู่เสมอ วันหนึ่งข้างหน้า บริษัทอาจปรับโครงสร้าง คุณอาจถูกเลิกจ้าง หรือ AI อาจเข้ามาทำงานแทนที่คุณจริงๆ ก็ได้ การเปลี่ยนแปลงอาจน่ากลัว แต่การปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเสียดายที่ไม่เคยได้ลองอาจน่ากลัวยิ่งกว่า ดังนั้นความเสี่ยงที่แท้จริง อาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง แต่คือการนิ่งเฉยในขณะที่โลกกำลังวิ่งไปข้างหน้า