จาก Old Economy สู่ Deep Tech Economy ต้องปั้น 4 เสาหลัก Digital, Innovation, Green, Creative สนับสนุนการรีสกิลคนไทยและดึง Talent โลกให้เกิดชุมชนความรู้ในประเทศ
ที่งาน THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีแห่งอนาคตของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังพลิกโฉมเศรษฐกิจมหภาค และนิยามการทำธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีระดับลึก หรือ Deep Tech กำลังเปลี่ยนโลกและมนุษย์มีอายุยืนยาวกว่าที่เคย
ภายในงานเริ่มต้นด้วยการกล่าวปาฐกถาจาก นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
...
ต่อด้วยในเซกชัน Deep Tech เทคโนโลยีขั้นลึกที่เป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจแห่งอนาคต จาก 3 ผู้นำภาครัฐและเอกชน ได้แก่
จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)
ไทยติดล็อกจาก Old Economy แต่ Deep Tech เปิดประตูสู่โอกาสใหม่
เริ่มจากจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาไทยติดล็อกไปหมด ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ให้ SMEs ลูกค้าเดิมของแบงก์ใหญ่กลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้แก้ล็อกไม่ได้ แต่ Deep Tech อาจเป็น Quick Big Win ถ้าเราอ่านเกมนี้ถูก
จรีพรชี้ว่าไทยมีจุดแข็งจากฐานการผลิตยานยนต์ระดับโลก และการเปลี่ยนผ่านสู่ EV ที่รถคือคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังกลายเป็นคอมพิวเตอร์อีกแบบหนึ่ง ถ้าไทยตระหนักและลงทุนฐานคน–ฐานเทคโนโลยี อย่างจริงจัง จะต่อยอดได้เร็ว
“สิ่งที่ดึงเงินเข้าประเทศได้เร็วและเพิ่ม GDP คือ FDI…สองปีที่ผ่านมา เงินลงทุนด้าน Data Center เข้ามากว่า 7.75 แสนล้านบาท คำถามคือเราจะต่อยอดอย่างไรให้ไม่ใช่แค่ ‘เงินไหลผ่าน’”
จรีพรเสนอให้รัฐบาล “วางเสาเทคโนโลยี” 4 ด้านให้ชัด ได้แก่ Digital, Innovation, Green, Creative เพื่อส่งไม้ต่อให้รัฐบาลชุดถัดไปเดินหน้าได้ทันที
Talent คือ Quick Win ที่เริ่มได้เดี๋ยวนี้
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเกี่ยวกับ Quick Win เอาไว้ว่า ไทยเรามีคนเก่ง AI เยอะ แต่ปริมาณไม่พอ และเกิดสมองไหล เพราะอุตสาหกรรมเทคในประเทศยังเล็กมากๆ
พชรระบุว่า มหาวิทยาลัยเริ่มเร่งหลักสูตรเทคโนโลยีแล้ว แต่ถ้าไม่มีสนามให้เติบโต คนเก่งก็จะไหลออก
...
ในมุมมองของพชรคือ การดึง FDI จากบริษัทเทคให้เข้ามาตั้งฐาน สร้างอีโคซิสเท็ม (Ecosystem) ตั้งแต่ Hyperscaler/Data Center ไปจนถึงผู้พัฒนา ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันธุรกิจ พร้อมกันนั้นต้องดึงและรักษา Talent ระดับโลก รวมถึง Digital Nomad ด้วยการปลดล็อกขั้นตอนวีซ่าและการตั้งถิ่นฐานในไทย
“คนกลุ่มนี้ไม่ได้มาแค่นั่งทำงาน แต่จะสร้าง ‘ชุมชนความรู้’ แลกเปลี่ยน Use Case ทำให้บุคลากรไทยแข็งแรงขึ้น สุดท้าย Productivity ของประเทศจะดีขึ้น”
สร้าง Soft Infrastructure เปิดคลังข้อมูลรัฐ
“ในกรอบ ‘Quick Big Win’ 4+4 เดือน เราสร้างท่าเรือ โรงงาน หรือแม้แต่ Data Center ให้เสร็จคงยาก แต่เราทำ Soft Infrastructure ได้ทันที นั่นคือการบูรณาการและเปิดใช้ข้อมูล”
ศ.ดร.ธีรณีชี้ว่า ตลาดขาดข้อมูลฝึก AI ทั้งที่รัฐถือครอง Unique Data Asset จำนวนมาก หากบูรณาการและเปิดใช้เชิงวิเคราะห์ จะเกิดผลเร็วและยั่งยืน
...
ตัวอย่าง “Data-Driven Economy” ที่เริ่มได้ทันที
สุขภาพ - เชื่อมข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับประวัติการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงเบาหวาน/ความดัน ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐระยะยาว
ท่องเที่ยว - ใช้ข้อมูลตรวจคนเข้าเมือง (หลังทำ hash/anonymize) รวมกับข้อมูลการเคลื่อนที่จากผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อเข้าใจ “ใคร–มาเมื่อไร–ใช้จ่ายอย่างไร” จะช่วยออกแบบแคมเปญและโครงสร้างราคาได้แม่น
เกษตร: เชื่อมข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกและตลาดโลก เพื่อคาดการณ์ผลผลิต 3 เดือนล่วงหน้า ลดความเสี่ยงล้นตลาด
“รัฐบาลไทยเชื่อมยาก แต่พอเชื่อมแล้ว ไม่เคยปิดท่อ เราจะวิเคราะห์ต่อได้อีกยาว ถ้าลดระดับชั้นความลับให้เหมาะสมและเปิดให้เอกชนต่อยอด เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์มหาศาล เพราะข้อมูลรัฐก็สร้างจากภาษีประชาชน”
เศรษฐกิจใหม่ต้องตั้ง “4 เสา”
ในประเด็นนี้ จรีพรย้ำว่า Digital, Innovation, Green, Creative คือเสาหลักของเศรษฐกิจใหม่ เราต้องวางกลยุทธ์ระดับประเทศ ตั้งหลักให้ถูกทั้ง AI, Quantum, Advanced Energy, Small Modular Reactor แล้วคว้าโอกาส Next Wave ให้ได้
พชรเสริมว่า หากไทยตั้งเป้าเป็น AI Hub จะเกิดการลงทุนฝั่ง Upstream (โครงสร้างพื้นฐาน, Data Center, แหล่งข้อมูล, แพลตฟอร์มการสื่อสาร) และ Downstream (การประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจจริง) จะพร้อมยกระดับขีดความสามารถแข่งขันได้ทันที
ASEAN AI Hub เป็นไปได้
...
ศ.ดร.ธีรณี ชี้ว่าการจะเป็น AI Hub ของโลกคงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเป็น ASEAN AI Hub พอเป็นไปได้ สิ่งที่ต้องทำมี 2 อย่าง นั่นคือ การทำโปรแกรมที่มีชื่อว่า Reskill Program และ Incentive Program
ในด้านการ Reskill แน่นอนว่า การทำตำราคงทำไม่ทันเพราะใช้เวลากว่า 2 ปี แต่ AI มีการเปลี่ยนแปลงทุก 2 สัปดาห์ สิ่งที่ต้องทำคือ ใช้ Micro-credential แบ่งคอร์สสั้น 1–2 ชั่วโมง วาง learning path ให้คนที่มีอายุ 45 ปีขึ้น รีสกิลได้จริง ตั้งแต่ นักบินโดรน ไปจนถึง ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ใช้ AI จากนั้นก็ขยายผ่านโรงเรียน/หน่วยงานระดับจังหวัดต่อไป
อย่างที่สอง Incentive Program ควรกระตุ้นการใช้ AI โดยกำหนดเงื่อนไข ไม่เลย์ออฟ เพื่อให้คนทำงานใช้เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพแทนการถูกทดแทน ถ้าทั้ง Reskill และ Incentive ยิงถูกเป้า การเป็น ASEAN AI Hub ก็เป็นไปได้