แผ่นดินไหวจบแล้ว แต่ความกังวลยังอยู่? แสนสิริเซ็ตมาตรฐานใหม่ อสังหาฯ ไทยไปต่ออีกขั้น

ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ยังคงจารึกอยู่ในชีวิตคนไทยหลายคน คือ แรงสั่นสะเทือนจากบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาพาดผ่านประเทศไทย ทำให้ประชากรในภาคเหนือ และกรุงเทพฯ รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนกันทั่วหน้า

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประเด็น “โครงสร้างรองรับแผ่นดินไหว” กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องเร่งตีโจทย์นี้ให้แตก

และเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ ความเชื่อมั่นจึงเป็นเพียงกุญแจดอกเดียวที่ภาคอสังหาฯ ต้องคว้ามาไขวิกฤตินี้ให้ได้

“โครงสร้าง ความปลอดภัย และความเชื่อมั่น”

องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เราไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งรับ สิ่งที่ทำได้คือ จัดการกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น เพราะความปลอดภัยของลูกบ้านสำคัญที่สุด

ทางแสนสิริมีการจัดตั้ง War Room เพื่อประสานงานกับวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด ตั้งแต่โครงสร้างอาคารภายนอก ไปจนถึงระบบภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบลิฟต์ ไฟฟ้า และประปา ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า โครงการทั้งหมดของแสนสิริมีโครงสร้างอาคารที่ปลอดภัยสมบูรณ์

อีกด้านหนึ่งนอกเหนือจากความปลอดภัย คือ การอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้าน ทางแสนสิริได้ดำเนินการเคลมประกันภัยให้แก่ลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบบางส่วนจากแรงสั่นสะเทือน และมีแผนปรับปรุงเชิงโครงสร้างระยะยาว เรียกความเชื่อมั่นกลับมาด้วยเทคโนโลยี LIV-24 (ลีฟ ทเวนตี้โฟร์) ระบบดูแลความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยง ที่พัฒนาโดยแสนสิริ และ PLUS Property โดยมีฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น “IOT Monitoring System” ระบบควบคุมอาคารอัจฉริยะ ที่สามารถตรวจสอบระบบน้ำ ไฟ ลิฟต์ ปั๊ม และระบบป้องกันอัคคีภัยของโครงการบ้านและภายในคอนโดทั้งหมด และสามารถอัปเดตสถานะแบบเรียลไทม์

อสังหาฯ ไทย สอบผ่านทุกสนาม

“ธุรกิจอสังหาฯ ของไทย ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ น้ำท่วม โควิด และแผ่นดินไหวครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งผลกระทบระยะสั้น” บริสุทธิ์ กาสินพิลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮมบายเออร์ ไกด์ กล่าว

อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดี จะเกิดการบอกต่อ และสร้างการรับรู้ที่ดีในวงกว้าง

นอกจากนี้ศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า การออกกฎกระทรวงและมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะกฎกระทรวงปี 2564 และมาตรฐาน มยผ. 1301/1302-61 นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สามารถสร้างมาตรฐานการออกแบบที่มีความชัดเจน และก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

ซึ่งเป็นบรรทัดฐานที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับทางแสนสิริที่เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างมาตรฐานอสังหาริมทรัพย์ไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังฝ่าฟันวิกฤตินี้ร่วมกัน

“แผ่นดินไหวอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เราจึงต้องทำให้ครั้งต่อไป ไม่เป็นวิกฤติ”

งานสัมมนา "Sansiri Insight Talk: Beyond the Blueprints" เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาอาคารที่อยู่อาศัยให้มีความปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น

อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยหัวใจการทำงาน 3 ด้าน คือ Quality คุณภาพที่เหนือมาตรฐาน Service บริการต่อเนื่อง และ Well-being ส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อการดูแลลูกบ้านอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ภายในงาน แสนสิริได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมระดมความคิดเห็นร่วมกัน ดังนี้

ดร.วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความคิดเห็นต่อการพัฒนามาตรฐานการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการนำนวัตกรรมการใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป เช่น ผนังน้ำหนักเบาโครงโลหะ ที่มีความแข็งแรง และสามารถรับแรงได้ดี เมื่อเกิดการแตกร้าว จะสามารถซ่อมแซมได้ง่ายกว่าผนังปูน

ขณะที่ กฤษฎา แท้ประสาทสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟรา กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารสูงและแรงลมแผ่นดินไหว ให้ข้อมูลว่า สิ่งสำคัญคือ การเคารพในวิชาชีพของทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องในการสร้างอาคาร ต้องมีความรับผิดชอบ และตั้งใจทำงาน เพราะผลงานที่ดีจะสะท้อนเพอร์ฟอร์แมนซ์ของอาคาร การตรวจสอบคุณภาพต้องทำอย่างจริงจังในหน้างาน ไม่ใช่เพียงแค่ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

เช่นเดียวกับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มองว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ของบริษัทประกันภัยเช่นกัน ที่ต้องรับมือกับการเคลมจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งทางบริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาค่าซ่อมแซม โดยเจรจากับผู้รับเหมาเพื่อให้ค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า

ทั้งนี้ ปัจจุบันแสนสิริได้ร่วมสร้างประสบการณ์ด้านที่อยู่อาศัยกว่า 40 ปี ผ่านโครงการแนวสูง 225 โครงการ รวมกว่า 90,000 ยูนิต ร่วมกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ (Plus Property) บริษัทในเครือที่ให้บริการด้านบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ดูแลลูกบ้านกว่า 100,000 ครอบครัว

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบความแข็งแรงของอาคาร แต่ยังสะท้อนถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ

แสนสิริเล็งเห็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน ที่อยู่อาศัยควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

โดยภาพรวมพบว่าสิ่งที่ทำให้แสนสิริโดดเด่นเหนือคู่แข่งคือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความรับผิดชอบและดูแลลูกค้าทุกคนอย่างต่อเนื่อง, มี Property Management ที่เป็นบริษัทบริหารนิติบุคคลมืออาชีพทำอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการนิติบุคคล ตลอดจนพาร์ทเนอร์ที่อยู่เคียงข้างการทำงานอย่างกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ของประเทศ ที่ปรึกษางานออกแบบ และงานที่เกี่ยวกับโครงสร้าง ระบบลิฟต์ และที่สำคัญคือบริษัทประกันที่อยู่เคียงข้างดูแลอำนวยความสะดวกการเคลมประกันให้ลูกบ้าน