ในภาวะที่ประเทศและเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหา อุปสรรค และบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ขอมองต่างมุม โฟกัสที่จุดแข็ง เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสแก่ประเทศไทย
โลดแล่นในแวดวงธุรกิจมาเป็นเวลาร่วม 4 ทศวรรษ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดครบ 58 ปี ไปเมื่อเดือน มี.ค.2568 ผ่านประสบการณ์โชกโชนมาแล้วทุกรูปแบบ
ตอนอายุ 30 ถูกส่งไปเป็นทีมเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ หลังบริษัทโทรคมนาคมในเครือซีพี ชื่อเทเลคอม เอเชีย หรือทีเอ (ขณะนั้น) เจออิทธิฤทธิ์รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ จาก 25 บาทขยับขึ้นเป็นสูงสุด 55 บาท ดันหนี้สกุลเงินดอลลาร์ของทีเอ ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เป็นประมาณ 90,000 ล้านบาท
เจรจาปรับโครงสร้างหนี้เสร็จ ศุภชัยต้องขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในปี 2542 ตามมติเจ้าหนี้ ที่เคาะเลือกเขาขึ้นเป็นผู้บริหารแบกภาระหนี้เฉียดแสนล้าน เพื่อจะได้ทำตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่รับปากเอาไว้
มาถึงวันนี้ ทีเอปรับเปลี่ยนเป็นทรู คอร์ปอเรชั่น ขยายบริการจากโทรศัพท์พื้นฐาน สู่บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ก้าวสู่การเป็นเทคคัมปะนี
เรื่อยมาจนเมื่อปี 2560 ศุภชัยถูกเลือกอีกครั้ง ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารของอาณาจักรซีพี แทน ธนินท์ เจียรวนนท์ บิดา รับผิดชอบดูแลธุรกิจในเครือทั้งหมด อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย
เขาเคยเปรียบเปรยไว้ว่า ซีพีเป็นเป้าขนาดใหญ่ ยิงอย่างไรก็ถูก แม้ยิงมั่ว
ตกผลึกในวัย 58 ปี ศุภชัยยอมรับได้ กับการถูกเข้าใจผิด ถูกไม่ชอบ เพราะบางครั้งกลุ่มซีพีต้องเลือกที่จะต่อสู้ โต้กลับบ้าง เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง “ถูกเข้าใจผิด ถูกไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร”
แบกภาระอันหนักหน่วง ผ่านช่วงเวลาแห่งความกลุ้มใจ นอนไม่หลับ คิดไม่ตก ศุภชัยใช้หลักพุทธศาสนานำทางชีวิต เขาเป็นเจ้าของไอเดีย ริเริ่มรายการสามเณรปลูกปัญญาขึ้นมา จนถึงวันนี้กำลังออกอากาศซีซันที่ 11 เพราะเชื่อว่าหลักคำสอนทางพุทธศาสนา จะทำให้เยาวชนไทยมีสติ ปัญญาส่องทาง
“กุญแจสำคัญคือการครองสติ (Mindfulness) ทุกครั้งที่มีทุกข์ ให้ใช้สติจับเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ให้เจอ แล้วจะพบว่า 99% มันไม่มีอะไรให้น่าเป็นทุกข์เลย”
เช่นเดียวกับการบริหารธุรกิจ หากสติไม่แข็ง คงอยู่ไม่ได้ถึงวันนี้...ในภาวะที่ประเทศและเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหา อุปสรรค และบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก “ศุภชัย เจียรวนนท์” ขอมองต่างมุม โฟกัสที่จุดแข็ง เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสแก่ประเทศไทย
ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งสงครามการค้าที่ขัดแย้งรุนแรง เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบกับคนในวงกว้างแน่นอน แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในช่วงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ประเทศไทยสามารถสร้างสมดุลได้ดี ไม่ได้อยู่ข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ทำให้เรารอดพ้นช่วงที่ยากลำบากมาได้
ผมยังเชื่อว่า หากรัฐบาลสร้างสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้ เราจะไม่บาดเจ็บนัก หากจีนกำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ๆ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา น่าจะเป็นการมองระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งผมเชื่อว่าจีนมีมิตรไมตรีกับไทยมากกว่า
ในส่วนของอเมริกา ซีพีเป็นเอกชนไทยที่ลงทุนในอเมริกามากที่สุด เราพร้อมขยายการลงทุนเพิ่มตามนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ หากมีเงื่อนไข ที่ดีและจูงใจ
ประเทศไทยยังมีความหวัง หากสามารถปรับตัวในเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นคือการศึกษา สร้างทุนมนุษย์ที่มีแนวคิดเชื่อว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คนที่มี Growth Mindset มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค กล้าเผชิญปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมทดลองสิ่งใหม่ๆ
“การศึกษาจะสร้างทุนมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้ โดยเฉพาะการพัฒนาให้มี Growth Mindset ที่ว่า ทุกคนเป็นนักพัฒนา นักค้นคว้าได้”
เด็กทุกคนควรถูกสอนมาให้ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในองค์กรใหญ่หรือทำงานของตัวเอง สามารถคิด ค้นคว้า ริเริ่มทำเรื่องใหม่ได้ตลอด แต่ละปีจะมีเด็กจบปริญญาตรีปีละ 500,000 คน หากทำได้ จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปได้ไกล
“แม้ต้องใช้เวลา แต่ประเทศไทยและคนไทยต้องเชื่อมั่นว่า เรามีความสามารถคิดและทำสิ่งใหม่ๆได้ แม้โลกจะสั่นคลอน แต่หากกล้าลอง ไม่ย่อท้อ เราจะรับมือกับวิกฤติได้”
ความวุ่นวายปั่นป่วนจากสงครามการค้า ที่สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการขึ้นภาษีเป็นอาวุธ จนทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก ยังอาจเป็นโอกาสของไทยในการรอรับส้มหล่น 2 เรื่อง แต่ต้องเร่งพัฒนาคนเพื่อคว้าโอกาสนี้เอาไว้
เรื่องแรกคือ การที่เทคคัมปะนีระดับโลก พาเหรดเข้ามาลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ในไทย ทำให้เห็นได้ว่า ไทยยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
“ก่อนหน้านี้การตั้งดาต้าเซ็นเตอร์จะอยู่ในสิงคโปร์ จนสิงคโปร์รับไม่ไหวกับปริมาณการใช้ไฟที่เพิ่มขึ้น การลงทุนจึงขยับไปที่มาเลเซีย แต่มาเลเซียมีจุดสะดุดด้านการเมืองระหว่างประเทศ สปอร์ตไลต์จึงหันมาหาประเทศไทย”
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยของเทคคัมปะนียักษ์ใหญ่หลายแห่ง ควรมีข้อต่อรองให้มาพร้อมกับการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วย เพื่อทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยในไทย
เมื่อมีชุดความรู้ใหม่ๆ จะช่วยยกระดับไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค โดยเฉพาะการศึกษาด้านเทคโนโลยี ช่วยสร้างคนและดึงบุคลากรจากทั่วโลกให้อยากเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ไทยยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการใช้ไฟจำนวนมหาศาลในการเปิดดาต้าเซ็นเตอร์ รัฐบาลจึงควรมองแหล่งพลังงานใหม่ๆไว้เป็นทางเลือก รวมทั้งการก่อตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor (SMR) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ยืดหยุ่น ปลอดภัยสูง เพราะฝังลงไปในดินลึกมาก
“หากไม่มีการเตรียมพร้อม คนไทยจะต้องเผชิญกับค่าไฟที่สูงกว่านี้”
ส่วนเรื่องที่สอง คือโอกาสที่ทุนต่างชาติ จะเลือกเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย หากกำหนดเงื่อนไขที่ดี เช่น ไม่ควรให้ต่างชาติถือหุ้น 100% และมีการกำกับดูแลที่โปร่งใส โดยเฉพาะการสนับสนุนสิทธิพิเศษทางภาษี ที่กำหนดให้เราสามารถเก็บภาษีรายได้จากการลงทุนของต่างชาติได้บ้าง รวมไปถึงเงื่อนไขกำหนดสัดส่วนการจ้างแรงงานไทยด้วย เพื่อสร้างโอกาสให้คนในประเทศ
“ส่วนกรณีการแห่เข้ามาในไทยของทุนจีนสีเทานั้น ต้องยอมรับว่าขณะนี้ทุนจีนเทาในไทยมีจำนวนมาก เพราะรัฐบาลจีนกำลังเร่งปราบปรามจีนเทาในประเทศของเขา ทำให้จีนเทาหนีออกนอกประเทศ และส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเรา”
รัฐบาลไทยจึงควรร่วมมือกับรัฐบาลจีน เรียนรู้จากเขา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง ยกระดับกฎหมายและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของเราเอง ผู้รักษากฎหมายต้องไม่เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เช่นนั้นจะไปกันใหญ่
“กรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ถล่มเมื่อวันแผ่นดินไหว ทำให้จีนเสียหน้ามาก และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง”
ต่อการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ รวมกาสิโน, การก่อสร้างโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์-Land Bridge) รวมทั้งความคืบหน้าในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งซีพีเป็นผู้ชนะการประมูลไปนั้น
สำหรับโครงการเอนเตอร์ เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา ปัจจุบันโลก เปลี่ยนไปแล้ว การลงทุนใหม่ๆ ในประเทศไทยเป็นเรื่องจำเป็น แม้กาสิโนเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ไม่มีกาสิโน คนไทยและนักท่องเที่ยวก็หาที่เล่นการพนันอยู่ดี ตอนนี้ประเทศในเอเชียมีกาสิโนเกือบหมดแล้ว เพราะทุกประเทศเล็งเห็นว่าเป็นแหล่งรายได้
ที่สำคัญตอนนี้เว็บพนันออนไลน์ มีให้เล่นจากทุกมุมโลก อยู่ที่ไหนก็เล่นได้ผ่านหน้าจอมือถือ การทำกาสิโนให้อยู่ภายใต้กฎหมาย จะช่วยสร้างรายได้ เงินภาษีเข้าประเทศ หากเป็นห่วงคนในประเทศ กลุ่มเปราะบาง สามารถกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวด รัดกุมได้ เช่น เก็บค่าเข้าสำหรับคนในประเทศ เหมือนกับที่หลายประเทศทำ
เช่นเดียวกับโครงการแลนด์บริดจ์ มองว่าถึงเวลาแล้วเช่นกัน ที่ประเทศไทยจะสร้างโอกาสในเส้นทางขนส่งสินค้าใหม่ ที่ช่วยตัดตอน ร่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากฝั่งอันดามันมายังฝั่งอ่าวไทย เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก
“หากทำได้จริง ประเทศไทยจะได้ประโยชน์มหาศาล เรือเดินทะเลเรือบรรทุกสินค้าส่วนหนึ่งจะหันมาใช้เส้นทางนี้แน่นอน แม้เป็นการขนส่งจากทางเรือขึ้นทางบก แล้วลงทางเรืออีกรอบก็ไม่ใช่ปัญหา เทคโนโลยีสมัยนี้ทำได้หมดแล้ว ไม่ใช่อุปสรรค แต่ความท้าทายคือ มีบางประเทศไม่อยากให้แลนด์ บริดจ์เกิด และพยายามขัดขวางอยู่”
ส่วนความคืบหน้าในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินซึ่งซีพีเป็นผู้ชนะการประมูลไปนั้น อยู่ระหว่างรอให้สัญญาที่ได้รับการแก้ไขเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยืนยันว่าการแก้ไขสัญญา ไม่ใช่เป็นการเพิ่มผลประโยชน์ให้กับซีพี เพราะการลงทุนในโครงการนี้ ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ ROI ประมาณ 5% ไม่ใช่จำนวนที่คุ้มค่า การแก้สัญญาเรื่องเงื่อนไขการชำระเงิน เป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงเท่านั้น
“โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการที่มีความเสี่ยงสูง ยาก ใหม่มากสำหรับซีพี และได้รับผลตอบแทนในอัตราที่ไม่สูง แต่เหตุผลสำคัญที่ซีพีสนใจและเข้าไปลงทุน เพราะเห็นว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินคือการพัฒนา ซึ่งมีความหมายมากกว่าการลงทุน เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน รถไฟผ่านไปทางไหน นั่นคือการนำความเจริญไปถึง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโคราช-หนองคาย-จีน ทำสำเร็จเมื่อไร จะทำให้เกิดระบบรางเชื่อมภูมิภาคอาเซียน ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและส่งเสริมประเทศเพื่อนบ้าน ให้เติบโตไปพร้อมๆกันได้
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก โอกาสของประเทศไทยยังไม่หมด โจทย์ที่เหลือจึงเป็นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการกำกับดูแลที่ดี ตลอดจนการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามทุกสถานการณ์ไปได้อย่างแข็งแรง”.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม