ในส่วนของซีพีเอฟถือเป็นเอกชนรายใหญ่ที่มีคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งสหรัฐฯก็ถือเป็นคู่สำคัญเช่นกัน ดังนั้น ซีพีเอฟได้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการค้ากับสหรัฐฯไปยังรัฐบาลไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนข้อมูลที่ให้รัฐบาลไทยนั้นมีหลากหลายประเภท ทั้งเปิดเผยได้และไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลเชิงลึก
“ครัวของโลก” คือความมุ่งมั่นของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่จะผลิตอาหารคุณภาพปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั้งคนไทยและต่างชาติ
ในฐานะ “ซีพีเอฟ” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การแปรรูป ไปจนถึงการจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
ทำให้มีบทบาทที่จะนำข้อมูลต่างๆนำเสนอต่อรัฐบาล และเมื่อรัฐบาลต้องเผชิญกับปัญหาภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ “ซีพีเอฟ” ก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ส่วนรัฐบาลจะนำไปประกอบการพิจารณาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐบาล
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปีนี้ทุกๆประเทศ ไม่เฉพาะประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมือ และต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนจะตัดสินใจลงทุน โดยเชื่อว่าภาคเอกชนเกือบทุกราย ต้องรักษาลงทุนเดิมไว้ก่อน ส่วนธุรกิจใหม่ๆก็อาจชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน
“ในส่วนของซีพีเอฟถือเป็นเอกชนรายใหญ่ที่มีคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งสหรัฐฯก็ถือเป็นคู่สำคัญเช่นกัน ดังนั้น ซีพีเอฟได้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการค้ากับสหรัฐฯไปยังรัฐบาลไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนข้อมูลที่ให้รัฐบาลไทยนั้นมีหลากหลายประเภท ทั้งเปิดเผยได้และไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลเชิงลึก”
สำหรับประเด็นที่สามารถเปิดเผยได้ คือ การนำเข้าข้าวโพด และถั่วเหลือง โดยประเทศไทยต้องนำเข้าอยู่แล้ว เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ ดังนั้น หากจะแบ่งสัดส่วนการนำเข้าจากสหรัฐฯ หรือจะนำเข้าทั้งหมด ก็ต้องเจรจา หากต้นทุนต่ำ หรือพอๆกับการนำเข้าในปัจจุบัน เชื่อว่าเอกชนพร้อมจะสนับสนุนรัฐบาล
สินค้าประเภทผลไม้ ที่ควรเปิดการเจรจา ผลไม้ที่ประเทศไทยผลิตไม่ได้ อาทิ แอปเปิ้ล เชอร์รี แต่ขณะนี้ภาษีผลไม้จากสหรัฐฯ จัดเก็บในอัตราที่สูง ดังนั้น ควรลดภาษีให้เท่ากับนานาประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้บริโภคผลไม้ที่มาจากหลายประเทศในราคาถูกลง
นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกหลายประเภทที่สหรัฐฯเคยเรียกร้องให้ประเทศไทยลดอัตราภาษีให้ แต่ประเทศไทยยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่าทีมไทยแลนด์น่าจะมีทางออกที่ดี อย่างไรก็ตามต้องรอลุ้นผลการเจรจา ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้
นายประสิทธิ์เล่าว่า เรื่องการเจรจาสหรัฐฯ ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ แต่สำคัญยิ่งกว่า คือ การสร้างการเติบโตในประเทศ การจะเติบโตคนเดียวลำพัง คงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ดังนั้น ต้องเติบโตไปพร้อมๆกัน ด้วยการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงรายย่อย ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมตัวเอง ลักษณะคนตัวใหญ่ช่วยเหลือคนตัวเล็ก ให้อยู่รอดและเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งจะสร้างสมดุลและยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจได้
ในส่วนของซีพีเอฟนั้น ได้ช่วยเหลือเอสเอ็มอีของตัวเองอยู่แล้ว มาตั้งแต่วิกฤติโควิด ด้วยการปรับระยะเวลาการชำระเงินให้กับซัพพลายเชนเร็วขึ้น จาก 60 วัน เป็น 30 วัน หรือจาก 15 วัน เป็น 7 วัน เพื่อรายย่อยมีเงินไปหมุนเสริมสภาพคล่อง รวมถึงเจรจากับธนาคารเพื่อเสริมสร้างเครดิตให้กับคู่ค้าของตนเอง และมีอีกหลายอย่างที่ทางกลุ่มซีพีได้เข้าไปช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน
อีกทั้งซีพีเอฟยังได้เจรจากับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมกัน ด้วยการเติมเงินและสร้างเครดิต และดอกเบี้ยต่ำ ให้คู่ค้า เพื่อเสริมสภาพคล่อง หากทุกอุตสาหกรรมช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างจริงๆจังๆ เริ่มจากซัพพลายเชนของตัวเอง จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้
“หากบริษัทใหญ่ระดับท็อป 50 หรือท็อป 100 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วยกัน เชื่อว่าจะช่วยเอสเอ็มอีได้เป็นจำนวนมาก ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นโครงการนำร่อง (pilot) ให้ทุกบริษัทใหญ่ทำเรื่องนี้ให้เยอะขึ้น ช่วยเอสเอ็มอี เหมือนกับโมเดลที่บริษัทญี่ปุ่นเข้าไปช่วยซัพพลายเชนรายเล็กๆ ตั้งแต่ผู้ผลิตไปถึงผู้จัดจำหน่าย หากช่วยกันจะทำให้ซัพพลายเชนทั้งหมดนี้แข็งแรงได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ยังต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสียต่างๆ เพื่อประหยัดต้นทุน ซึ่งฟาร์มของซีพีเอฟทั้งหมดได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยลดการสูญเสียในทุกส่วนงาน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทำกำไรตามเป้าหมาย และให้ซีพีเอฟเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยไตรมาส 1 ปีนี้ซีพีเอฟ กำไร 8,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 642% หรือโต 6 เท่า เป็นผลจากการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ และความเคร่งครัดของระบบป้องกันโรคในฟาร์มที่เข้มงวด ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยตามมาตรฐานสากล.
ดวงพร อุดมทิพย์
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม