
สารพัดดราม่าและข้อกังขาที่นำไปสู่ความสนใจในตัว “รัชนก สุวรรณเกตุ” หรือ“เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ตลอด 2–3 สัปดาห์ที่ผ่านมา...ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “เจนนี่” ที่ความแตกแยกในครอบครัวเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดกระแส นำไปสู่การถอดบทเรียนจากเรื่องดังกล่าวในหลากหลายแง่มุม
สิ่งที่เห็นได้ชัดและจับต้องได้ทันที คือความสนใจของคนไทยในเรื่องชาวบ้าน โดยเฉพาะเกี่ยวกับครอบครัว เรื่องส่วนตัวของคนมีชื่อเสียง
9 ต.ค.2568 เจนนี่ไลฟ์สดผ่านช่องติ๊กต่อก (TikTok) ชี้แจงกรณีทะเลาะกับมารดารอบล่าสุด จบดราม่าเธอยังเปิดไลฟ์ขายของต่อ ปรากฏมีคนเข้ามารับชมให้กำลังใจ แสดงความคิดเห็น และช่วยซื้อสินค้าถล่มทลาย เจนนี่เลยไลฟ์ยาว 18 ชั่วโมง ทำยอดขายได้ 24 ล้านบาท (Positioning Magazine Online, 14 ต.ค.2568)
นอกจากเป็นนักร้อง นักแสดง ยูทูบเบอร์ นักธุรกิจ และอื่นๆ อีกมากมายแล้ว เจนนี่ยังเป็นนักขายสาลิกาลิ้นทอง เปิดช่องติ๊กต่อกมาร่วม 8 ปี มีผู้ติดตาม 20.5 ล้าน (ณ สิ้น ต.ค.2568) เจนนี่จึงไม่ใช่มือใหม่ในวงการ แต่เป็นปรมาจารย์เจนสนามในวิชาการตลาดและการขายยุคใหม่ ไลฟ์ขายสินค้าในช่องที่มีผู้ติดตามแตะ 10 ล้านคน มาตั้งแต่ก่อนที่ติ๊กต่อกจะเปิด TikTok Shop (ช่องทางซื้อ-ขายสินค้าผ่านติ๊กต่อก) ในเดือน มี.ค. 2565 ด้วยซ้ำ
เธอเปิดเผย ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนกลุ่มย่อยที่ติ๊กต่อกจัดขึ้นในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จากตอนเริ่มไลฟ์ทำคนเดียว ขยับเป็น 3 คน ตอนนี้มีทีมงาน 30 คน สำหรับเธอ การซื้อ-ขายสินค้าผ่านติ๊กต่อกเป็นเรื่องง่ายที่สุด มีการปักตะกร้าที่สะดวกสบาย มีลูกเล่นมากมาย ทั้งคลิป ทั้งสติกเกอร์ มีข้อมูลการตลาดแบบเรียลไทม์ ให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายได้ทันท่วงที “เวลาไลฟ์ เจนนี่จะคิดตลอด วิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้าน บางทีคนดูน้อยๆ เจนนี่จะล้มตัวลงนอน หลับไปบ้าง ไลฟ์สดนอนให้แฟนคลับดู คนก็จะแห่เข้ามาถามไถ่ว่าเราไม่สบายหรือเปล่า ทำงานหนักไปไหม”
สำหรับเธอกลยุทธ์สำคัญคือต้องรู้ว่ากำลังขายของให้ใคร แล้วขายให้ตรงจุด “แฟนคลับเจนนี่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อายุประมาณ 15-40 ปี เป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูงนัก เดือนละ 10,000-20,000 บาท เป็นกลุ่มสู้ชีวิต เราต้องดีลให้แบรนด์ช่วยหั่นราคา ทำราคาขายให้ถูกที่สุดเป็นพิเศษ สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ระหว่างแบรนด์ ช่องและลูกค้า สินค้าที่ขายดี 3 อันดับแรก ได้แก่ อาหารเสริม เครื่องสำอาง อาหาร”
ขยันเสิร์ฟโปรโมชัน หั่นราคา เป็นเหตุให้หลายแบรนด์ที่ขายผ่านช่องเจนนี่ประกาศขาดทุนยับ เรื่องนี้เจนนี่ชี้แจงว่ายอดขายไม่ได้มาเฉพาะในช่วงไลฟ์ แต่เป็นการสร้างโอกาสให้แบรนด์ มีการตามไปซื้อซ้ำ เพิ่มการจดจำ ที่สำคัญมั่นใจว่าแบรนด์จะได้เรียนรู้การขายในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเชื่อว่าคุ้มค่า
ความโปร่งใสยังเป็นอีกเรื่องที่ให้ความสำคัญ “เราต้องขายความจริงใจ เจนนี่ไม่มีความลับกับลูกค้า ทั้งที่เป็นแบรนด์และคนติดตาม เขาเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดของเรา ไม่มีเขาเราจะขายของได้อย่างไร”
นี่คงเป็นเหตุผลของการเปิดเผยเรตค่าจ้างไลฟ์อย่างตรงไปตรงมาและเท่าเทียมที่ 10 นาที 50,000 บาท หากทำยอดขายเกิน 1,000 ออเดอร์ คิดค่าส่วนแบ่งเพิ่ม 30,000 บาท “หลายครั้งมีดารา-นักร้องที่มีชื่อเสียงมาร่วมไลฟ์ ทั้งเป็นตัวแทนแบรนด์และมาเพราะอยากเรียนรู้ อยากช่วยแบรนด์เล็กๆที่ไม่มีเงินจ้างพรีเซนเตอร์ คนดังเหล่านี้ช่วยเพิ่มทั้งจำนวนคนชมไลฟ์และยอดขาย สถิติของช่องเราอยู่ที่การมาเยือนของพี่อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ทำยอดขายได้สูงสุด 77 ล้านบาท”
จากที่เคยรับงานช่วยขายที่ชั่วโมงละ 200,000 บาท เจนนี่เล่าว่าเทรนด์ตอนนี้อยู่ที่ 5-10 นาที “คนจะซื้อ 5–10 นาทีเขาก็ซื้อในทางตรงกันข้ามไลฟ์ขายของนานๆไม่ได้แล้ว การพูดซ้ำๆ มันน่าเบื่อ ขายของแป๊บเดียว ที่เหลือเสิร์ฟความบันเทิง เสิร์ฟความสุข”
ด้วยสถิติยอดขายสูงสุดที่วันละ 160 ล้านบาท ปัจจุบันเจนนี่พยายามสิ้นสุดไลฟ์ไม่เกิน 24.00 น. เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนควรพักผ่อน ไพรม์ไทม์ (ช่วงเวลาที่มีผู้รับชมไลฟ์สูงสุด) อยู่ที่ 19.00 น. เป็นต้นไป แต่หากมีคนดังมาร่วมไลฟ์ ช่วงเวลาดังกล่าวสามารถเป็นไพรม์ไทม์ได้เช่นกัน
เธอยังบอกกล่าวถึงความประทับใจต่อแบรนด์ไทยหลากหลายที่เคยทำงานร่วมกันมา “เจนนี่ก็เหมือนคนทั่วไป จากที่ไม่เคยมีไม่เคยได้ พอมีเงินก็อยากใช้ของแบรนด์เนม สินค้าต่างประเทศ แต่พอเราเริ่มไลฟ์ ทำงานกับแบรนด์ไทย ทำให้มีโอกาสสัมผัสผู้ประกอบการเหล่านี้ ได้เรียนรู้ว่าสินค้าไทยมีดีมากมาย คุณภาพเท่าเทียมต่างประเทศ”
อยู่ในอีกช่วงขาขึ้นของชีวิต เจนนี่เปิดใจรู้สึกสำเร็จที่สุดแล้ว คุ้มค่าแล้ว เวลาที่เหลือจากนี้คือการจัดการกับรายได้ สุขภาพ เวลา และสถานะความเป็นแม่
“ถามว่าเกษียณได้หรือยัง ตอบว่าเกษียณได้เสมอ เจนนี่ไม่มีอะไรต้องกลัว เราเคยหาได้หลักร้อย หลักพัน เราก็สู้มาได้ แถมตอนนี้เจนนี่รู้แล้วว่าเงินมีอยู่ในอากาศ เงินอยู่ในไลฟ์ แล้วจะรีบเกษียณทำไม”.
ศุภิกา ยิ้มละมัย
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม