ทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าอินโดฯ  จาก 32% เหลือ 19% ต้องแลกอะไรบ้าง เพื่อนบ้านได้ลด จะถึงคิวไทยกี่โมง?

Economics

ASEAN Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าอินโดฯ จาก 32% เหลือ 19% ต้องแลกอะไรบ้าง เพื่อนบ้านได้ลด จะถึงคิวไทยกี่โมง?

Date Time: 16 ก.ค. 2568 13:54 น.

Video

เบื้องหลัง McDonald’s โมเดลทำเงินสุดฉลาด จริงๆ รวยจากอะไร ? | Digital Frontiers EP.42

Summary

อินโดนีเซียเจรจากับสหรัฐฯ สำเร็จ ได้สิทธิ์ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 19% กำลังการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นแต่ต้องแลกกับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ จับตาไทย จะได้สิทธิ์ลดเหมือนเพื่อนบ้านหรือไม่

หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีการประกาศนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา ทำให้เหล่าผู้นำหรือตัวแทนจากหลายประเทศแห่ต่อคิวเข้าเจรจาเพื่อหวังลดอัตราภาษีที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ซึ่งในการเจรจานั้นมีทั้งประเทศที่เจรจาสำเร็จและถูกปฏิเสธเพราะไม่สามารถเสนอที่ตรงต่อความต้องการของสหรัฐฯได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประเทศที่การเจรจาผ่านไปได้ด้วยดี เช่น เมื่อสัปดาห์ก่อน เวียดนามที่ได้สิทธิ์ในการลดภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกาจากอัตรา 46% เหลือ 20%

และล่าสุด อินโดนีเซียก็สามารถปิดดีลลดภาษีได้ในอัตรา 19% จนทะยานแซงหน้าเวียดนาม กลายเป็นอันดับสองของประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีทรัมป์ “น้อยที่สุด” ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์

อินโดนีเซียได้ลดภาษี แต่ต้องแลกกับหลายอย่าง

อินโดนีเซียกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เจรจาเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จ โดยปรับลดจาก 32% เหลือแค่ 19% แซงหน้าเวียดนามที่ได้รับการปรับลดไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

ตัวเลขใหม่ของภาษีนำเข้าสหรัฐที่อินโดนีเซียถูกเรียกเก็บนั้น กำลังผลักให้ประเทศกลายเป็นอันดับ สองของแถว “ผู้ถูกเก็บภาษีทรัมป์น้อยที่สุดในอาเซียน” รองจากสิงคโปร์ที่มีอัตราภาษีทรัมป์ 10% และสร้างความหวังให้เศรษฐกิจอินโดฯ มากขึ้น เพราะนี่ถือเป็นโอกาสสำคัญที่นักลงทุนอาจพากันหันหัวเรือเทเงินเข้าประเทศมากขึ้น 

ความก้าวหน้าของการเจรจานี้ช่วยบรรเทาแรงกดดันที่ตลาดอินโดนีเซียแบกรับมานับตั้งแต่ที่ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งแรกในเดือนเมษายน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสองของประเทศที่มีมูลค่าสูงจากทั้งเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงน้ำมันปาล์ม อาจกระทบต่อหลายล้านงานในประเทศ และทำให้ GDP ของอินโดนีเซียหดตัวจาก 5.2% เหลือเพียง 5% เนื่องจากสงครามการค้า

ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนและประชาชนในประเทศ แต่เมื่อการเจรจาผ่านไปได้ด้วยดี หลายคนเริ่มสบายใจต่อเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นเพราะเมื่ออินโดนีเซียมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ก็จะได้เปรียบในการแข่งขันในการส่งออกมากกว่า

ทว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และอินโดนีเซียเพื่อการลดภาษีนำเข้านั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นขวากหนามที่ต้องฝ่าไป เพราะอินโดนีเซียต้องแลกมากับหลายอย่าง เช่น ตกลงที่ยกเลิกภาษีนำเข้าทั้งหมดที่เก็บจากสหรัฐฯ และซื้อผลิตภัณฑ์อเมริกัน 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ประกอบด้วย

  • ผลิตภัณฑ์พลังงาน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
  • ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 4.5 พันล้านดอลลาร์

และยังตกลงที่จะซื้อเครื่องบินไอพ่นของ Boeing Co. ราว 50 ลําเพื่อให้การเจรจาสำเร็จ แทบจะเรียกได้ว่านี่เป็นการทุ่มหมดหน้าตักของอินโดฯ จนเกือบจะเสียเปรียบเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

“พวกเขาจ่าย 19% และเรา (สหรัฐฯ) ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย” ทรัมป์กล่าว

เพื่อนบ้านทยอยปรับลด ไทยจะตามทันไหม?

แม้ว่าหลายประเทศจะมีการปรับลดหรือถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐเพิ่มเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ประเทศไทยจะยังคงอยู่ระดับเดิมคือ 36% จากครั้งแรกที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วงเพราะไทยพึ่งพาการภาคธุรกิจส่งออกมาก

รัฐบาลไทยพยายามที่จะเข้าเจรจากับสหรัฐอีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอใหม่คือ การยกเลิกภาษีนําเข้าสินค้า 90% ของสหรัฐฯที่เข้ามาในไทย ทั้งยังเสนอที่จะเพิ่มการซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรและพลังงานของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่อินโดนีเซียทำ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่รัฐบาลที่พยายามเร่งเจรจาปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ครั้งใหม่ แต่ยังรวมไปถึงคนไทยอีกหลายล้านคนที่กำลังจับตารอข้อสรุปเรื่องเศรษฐกิจว่าจะเดินไปในทิศทางไหนต่อจากนี้ เพราะหากไทยได้สิทธิ์ในการปรับลดภาษีน้อยลง เราจะมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และมีความหวังที่เศรษฐกิจอาจเติบโตขึ้นจากที่ชะลอตัวอยู่

แต่หากไม่สำเร็จ เศรษฐกิจไทยอาจถอยหลังและส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงถึง 1% และอาจแข่งขันกับประเทศอื่นในอาเซียนที่มีอัตราภาษีน้อยกว่าไม่ได้


ที่มา : Bloomberg [1] [2]

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ