90 วันอันตราย ก่อนสหรัฐฯ กลับมาขึ้นภาษี ประเทศไหนเจรจา “ทรัมป์” บ้าง เปิดดีลที่ต้องแลก

Economics

Global Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

90 วันอันตราย ก่อนสหรัฐฯ กลับมาขึ้นภาษี ประเทศไหนเจรจา “ทรัมป์” บ้าง เปิดดีลที่ต้องแลก

Date Time: 18 เม.ย. 2568 19:52 น.

Video

SENA สร้างโซลูชันธุรกิจ แก้ปัญหาสังคม แก้วิกฤติอสังหาฯ ขายไม่ออก | On The Rise

Summary

90 วันอันตราย ก่อนทรัมป์กลับมาขึ้นภาษี ประเทศไหนได้เข้าเจรจาข้อตกลงการค้าแล้วบ้าง อะไรคือสิ่งที่ต้องแลก อ่านเกมสหรัฐฯ ต้องการอะไรมากกว่าการค้าที่เป็นธรรม

Latest


เศรษฐกิจโลก นักลงทุนได้พักหายใจชั่วขณะ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน จากเดิมที่จะต้องมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เม.ย. 2568 โดยต้องการต่อเวลาให้กับประเทศที่อยากเข้ามาเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แม้ว่านักวิชาการบางคนจะมองว่า การเลื่อนขึ้นภาษีออกไปเป็นการ “ทดเวลาบาดเจ็บ” ถอยไปตั้งหลัก เนื่องจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่สหรัฐฯ ใช้เป็นไพ่ต่อรองผลประโยชน์ สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จนเข้าใกล้จุดอันตราย

โดยดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาว 30 ปี พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 4.3267% เป็น 4.9689% ระหว่างวันที่ 7-9 เม.ย.ที่ผ่านมา จากการถูกกระหน่ำเทขาย ซึ่งสะท้อนว่าตลาดพันธบัตรกำลังเข้าสู่ความไม่เสถียรและเปราะบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั้งนี้ในช่วง 90 วันนี้ ทุกประเทศจะยังถูกเก็บภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐาน 10% ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก ที่จะไม่ถูกเรียกภาษีขั้นพื้นฐาน แต่จะเสียภาษีศุลกากรอัตราใหม่ที่ 25% ส่วนคู่แข่งไม้เบื่อไม้เมาอย่างจีน จะยังคงถูกเก็บภาษีตอบโต้ที่อัตรา 125% ต่อไป

Thairath Money ชวนอัปเดตความคืบหน้า ส่องประเทศไหนได้เข้าเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แล้วบ้าง อะไรคือสิ่งที่แต่ละประเทศต้องแลก อ่านเกมสหรัฐฯ ต้องการอะไรมากกว่าการค้าที่เป็นธรรม

ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่ตื่นตัวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นอันดับแรกๆ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับ 1% ของ GDP

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ทรัมป์เปิดเผยผ่าน Truth Social ว่า การเจรจาการค้ากับคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นมี “ความคืบหน้าอย่างมาก” หลังเสร็จสิ้นการหารืออย่างเป็นทางการนัดแรกที่กรุงวอชิงตัน โดยมี เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นผู้นำคณะ และภายหลังการหารือ อาคาซาวะเปิดเผยว่า ในการเจรจาครั้งนี้เขาได้คุยกับทรัมป์เป็นเวลา 50 นาที และคุยกับคณะเจรจาของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแทนจากกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์อีก 75 นาที แม้การเจรจาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้มีการหยุดการขึ้นภาษีศุลกากรในทันที แต่จะมีการเตรียมการสำหรับการเจรจารอบสองที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้

“ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันอย่างตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์ และมุ่งหวังที่จะบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว” อาคาซาวะกล่าว

พร้อมกับเสริมว่า ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ กำลังแสวงหาข้อตกลงการค้าก่อนที่การผ่อนผันภาษีศุลกากร 90 วัน จะสิ้นสุดลง ซึ่งญี่ปุ่นถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 24% และถูกเรียกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% รวมถึงภาษีรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม 25%

ทั้งนี้ อาคาซาวะปฏิเสธว่า ในการเจรจาครั้งแรกไม่ได้มีการหารือเรื่องค่าเงิน ซึ่งเป็นประเด็นที่ตลาดเงินและตลาดทุนให้การจับตามองว่าทรัมป์อาจใช้ประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน กดดันให้เยนแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาหลีกเลี่ยงที่จะให้ความชัดเจนว่ามีการหารือถึงประเด็นค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงหรือไม่

ด้านรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก๊อต เบสเซนต์ กล่าวว่า เขาคาดหวังที่จะบรรลุข้อตกลงกับพันธมิตรทางทหารอย่างญี่ปุ่นและหุ้นส่วนอื่น ๆ ของสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกันกดดันจีนทางเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ระหว่างการประชุมที่ทำเนียบขาว ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หารือร่วมกับทรัมป์ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ เพื่อหวังให้ทรัมป์ยกเว้นการขึ้นภาษีศุลกากร โดยระบุว่าญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่ลงทุนในสหรัฐฯ มากที่สุด ต่อเนื่อง 5 ปี ซึ่งช่วยให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐฯ มากมาย นอกจากนี้อิชิบะยังให้คำมั่นที่จะเพิ่มการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ และเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ไต้หวัน

ไต้หวันถือกลุ่มแรกๆ ที่ได้เจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ โดยการเจรจานัดแรกเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยสำนักงานเจรจาการค้าไต้หวัน รายงานว่า คณะเจรจาไต้หวันและสหรัฐฯ ได้หารือกันผ่านการประชุมวิดีโอออนไลน์ โดยระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของทรัมป์ และประเด็นอื่นๆ เช่น อุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และการควบคุมการส่งออก

ทั้งนี้ไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการเจรจา โดยอ้างถึงความเข้าใจโดยปริยายร่วมกัน แต่กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการพูดคุยกันเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม ไล่ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวันแสดงจุดยืนชัดเจนว่า ไต้หวันไม่มีเจตนาที่จะใช้มาตรการภาษีโต้กลับสหรัฐฯ แต่จะใช้แนวทางเจรจาผลประโยชน์กับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อบรรลุเป้าหมายให้สหรัฐฯ ลดการเก็บภาษีศุลกากรเหลือศูนย์หรือยกเลิกภาษีศุลกากรกับสินค้าจากไต้หวัน โดยอ้างอิงโมเดลข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)

อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ นับเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไต้หวัน โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วนมากถึง 23.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยสินค้าที่ส่งไปขายส่วนใหญ่เป็นคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ จึงทำให้ไต้หวันเกินดุลการค้ามาตลอด โดยในปี 2567 เกินดุลกับสหรัฐฯ มูลค่า 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นอันดับที่ 7 ในบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 32% ทั้งนี้สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ รัฐบาลทรัมป์อาจใช้ประเด็นเรื่องความมั่นคง กดดันให้ไต้หวันซื้ออาวุธสงครามจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ ให้ความคุ้มครองเอกภาพของไต้หวันจากจีน ที่ต้องการรวมไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ

เวียดนาม

ในบรรดาอาเซียน เวียดนามเป็นประเทศแรกที่สหรัฐฯ ตอบรับนัดหมายเจรจาภาษีศุลกากรด้วย เนื่องจากติดต่อเข้ามาเป็นอันดับแรกๆ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา Ho Duc Phoc รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้เข้าเจรจาอย่างเร่งด่วนกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลุตนิก เพื่อหารือข้อตกลงการค้า โดยรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวว่า เวียดนามต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่มั่นคงกับสหรัฐฯ "เพื่อประโยชน์ของธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ" หลังจากพบกับเจมีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะพิจารณาลด "อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีระหว่างกัน" ตลอดจนเสริมสร้าง "การประสานงานเพื่อควบคุมและป้องกันการฉ้อโกงทางการค้า"

ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สก๊อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เห็นด้วยกับรองนายกรัฐมนตรีเวียดนามที่จะเริ่มการหารือเรื่องการค้าตอบแทน (Reciprocal trade) อย่างเป็นทางการ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมี “ความคืบหน้าที่ชัดเจนและรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่”

ท่ามกลางการเจรจาหาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ระหว่างการเยือนประเทศเวียดนาม ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เรียกร้องให้เวียดนามร่วมกันต่อต้าน "การกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว" ของสหรัฐฯ เพื่อรักษาการค้าโลกไว้

ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ จะเป็นคู่ค้ารายสำคัญ และเกินดุลกับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับสามรองจากจีนและเม็กซิโก แต่จีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าการค้ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2024 และเป็นตลาดสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเวียดนาม ตั้งแต่ผลไม้ไปจนถึงอาหารทะเล เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และกาแฟ นอกจากนี้ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับสาม ที่ช่วยลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงเทคโนโลยีในเวียดนาม

สหภาพยุโรป

สำหรับพันธมิตรเก่าแก่ด้านการค้าและความมั่นคงอย่างสหภาพยุโรป (EU) ได้มีการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา โดย มารอส เซฟโควิช หัวหน้าคณะผู้แทนการค้าของสหภาพยุโรป ได้พบปะกับโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และนายจามีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามการเจรจามีความคืบหน้าเล็กน้อย เนื่องจากสหรัฐฯ ยืนกรานว่า ภาษีตอบโต้ต่อ EU อัตรา 20% ซึ่งขณะนี้ถูกระงับชั่วคราว เป็นเวลา 90 วัน และเก็บภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐาน 10% เช่นเดียวกับภาษีศุลกากรในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงรถยนต์และโลหะ จะไม่ได้รับการยกเลิกโดยสิ้นเชิง แหล่งข่าวซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อของ Bloomberg กล่าว

ล่าสุดวันที่ 17 เม.ย. ทรัมป์แสดงท่าทีมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อการเจรจาข้อตกลงการค้ากับ EU ระหว่างการต้อนรับ จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลีเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยเมโลนีเป็นผู้นำจาก EU คนแรกที่เข้าพบทรัมป์อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเชิญทรัมป์ไปเจรจาข้อตกลงการค้าในอิตาลี เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจากับ EU เนื่องจากทั้งเมโลนีและทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จากแนวคิดทางการเมืองหลายอย่างที่ตรงกัน เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่นๆ

“ดิฉันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงนี้ในนามของสหภาพยุโรปได้ เป้าหมายของฉันคือการเชิญประธานาธิบดีทรัมป์ไปเยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการ และทำความเข้าใจว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะจัดการประชุมกับยุโรป“

ด้านทรัมป์ กล่าวว่า “จะมีข้อตกลงทางการค้า 100% แต่จะเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรม”

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   
https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ