ในยุคที่ความผันผวนทางเศรษฐกิจเป็น "สภาวะปกติ" และภูมิทัศน์การค้าโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ De-globalization ผู้ประกอบการ SME ไทยไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป การเผชิญหน้ากับความท้าทายจากสงครามการค้าที่ยังไม่จบ การปรับตัวของซัพพลายเชนทั่วโลก และสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอ คือบททดสอบสำคัญ
เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจก้าวข้าม “ความไม่แน่นอน” ธนาคารกสิกรไทย จึงได้จัดเวทีเสวนาให้ลูกค้าธุรกิจในโครงการ K SME SIERRA ได้เตรียมพร้อมรับมือทุกความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นผ่านงาน "THRIVE on the E.D.G.E. FORUM 2025” รวมกลยุทธ์ฝ่าวิกฤตแห่งปี ผ่านมุมมองผู้นำแห่งยุค ช่วยยกระดับธุรกิจให้โตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพราะ “การรู้ทิศ” คือแต้มต่อสำคัญในโลกที่เปลี่ยนไว และเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ธุรกิจโต...ไปได้อีก
ความไม่แน่นอน เป็น "สภาวะปกติ"
รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย สะท้อนภาพรวมของสถานการณ์ในปีที่ผ่านมาว่า โลกกำลังเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่รุนแรงและรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เห็นได้จากความผันผวนของค่าเงินบาท ราคาทองคำ และดัชนีเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้การคาดการณ์อนาคตทำได้ยากยิ่งขึ้น
เมื่อมองย้อนไปในศตวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1920 ถึง 2020 จะพบว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความต่อเนื่อง แต่มาพร้อมกับความเร็ว ความรุนแรง และความซับซ้อน ที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือความตึงเครียดเชิงภูมิรัฐศาสตร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ได้ยกระดับจากการเป็นเพียงสงครามการค้า (Trade War) สู่การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในทุกมิติจนเกิดผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถึงแม้เกมนี้จะคลี่คลาย แต่เชื่อว่าจะมีเกมใหม่มาเข้ามาท้าทายธุรกิจอีกเรื่อยๆ
ดังนั้น การปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับทุกองค์กรที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับอย่าตื่นตระหนก เพื่อนำพาธุรกิจให้ก้าวข้ามผ่านความไม่แน่นอนนี้ไปได้อย่างมั่นคง
สงครามการค้า เพียงแค่พักรบ ยังไม่จบเกม
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตึงเครียด สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์มีจุดยืนชัดเจนในการผลักดันให้จีนต้องยอมรับระเบียบเศรษฐกิจโลกฉบับใหม่ ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็มีเงื่อนไขการเจรจาที่ไม่ต่างกัน ต่างคนต่างมีข้อเรียกร้องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โดยฝ่ายหนึ่งคือผู้นำจีนที่เปรียบสถานการณ์นี้เสมือนกับปรัชญาของ "ซุนวู" จากตำราพิชัยสงครามอันเลื่องชื่อ ซึ่งให้ความสำคัญกับ "ชัยชนะที่แท้จริง คือการชนะโดยไม่ต้องรบ" ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เชื่อมั่นว่า "The Art of the Deal" ดีลที่ดีต้องจบด้วยการได้ข้อสรุปที่ใช่
จึงเห็นได้จากภาพของบริษัทอเมริกาที่ได้มีการวางแผนกระจายความเสี่ยงออกจากประเทศจีน ส่วนบริษัทจีนก็ได้มีการวางแผนกระจายความเสี่ยงออกจากอเมริกาเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ถือเป็นการแตกหักอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าห่วงโซ่ซัพพลายเชนในโลกจะถูกแยกออกเป็นสองขั้ว หรือที่เรียกว่า โลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่สภาวะ Decoupling หรือการแยกตัวทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ
“จีนต้องการให้อเมริกายกเลิกและลดกำแพงภาษี ยุติการกลั่นแกล้งบริษัทจีนในประเด็นความมั่นคง และที่สำคัญคือต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีชิปเพื่อพัฒนา AI และเทคโนโลยีอื่นๆ”
ดังนั้นประเทศไทยไม่ควรคิดเพียงแค่ “ตั้งรับ” แต่ควรมองหา “โอกาส” ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการไทยที่อยากจะไปพึ่งพิงตลาดจีนควรกระจายความเสี่ยง เพราะมีทั้งตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและก็ล้มเหลว ดังนั้นต้องจับหลักให้ถูกและเดินเกมรุกเข้าไปเป็นหมากสำคัญของเกมนี้ให้ได้
สงครามการค้าที่ยังไม่จบ ไทยจะรับมืออย่างไรในยุค De-Globalization
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ถ้ามองจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ที่เป็นผู้เปลี่ยนเลนส์ เกิดความผันผวนในตลาดทุนอย่างมาก ความไม่นอนจะอยู่กับไทยอย่างน้อย 4 ปี ดังนั้นประเทศไทยในฐานะชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของห่วงโซ่อุปทานโลก จำเป็นต้องมองเห็นภาพใหญ่และปรับตัวอย่างทันท่วงที
เพราะการที่จีนจะหันมาผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศมากขึ้น ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และโลกตะวันตก จะส่งผลให้ "Globalization" เล็กลงอย่างมาก และเมื่อทุกประเทศต่างพยายามหาตลาดใหม่ ประเทศไทยก็จะกลายเป็น "ตลาดใหม่" ของสินค้าจากนานาชาติ ซึ่งหมายความว่าเราจะไม่ได้เห็นแค่สินค้าจีนทะลักเข้ามาเท่านั้น แต่สินค้าจากประเทศอื่น ๆ ก็จะไหลเข้ามาเช่นกัน นี่คือความท้าทายที่สำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ดังนั้นการที่ “ประเทศไทย” ถือเป็นซัพพลายเชนของซัพพลายเชนการค้าโลก จะได้รับผลกระทบในมิติใดบ้างนั้น บุรินทร์มองว่า สินค้าจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งไปยังสหรัฐฯ ซึ่งกำลังถูกจับตาว่าเป็นการสวมสิทธิ์จากจีนหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ ไทยอาจกลายเป็น “เป้าใหม่” ในเกมภาษีที่สหรัฐฯ ใช้ต่อกรกับจีน ดังนั้นรัฐบาลไทยจะต้องให้ความสำคัญตรงจุดนี้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้า
“สำหรับผู้ประกอบการไทย เราไม่สามารถมองข้ามสถานการณ์นี้ได้ แม้ไทยจะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่เราพึ่งพิงการค้าโลกเป็นอย่างมาก การที่สหรัฐฯ และจีนต่างกำลังปรับตัวและหาทางออกสำหรับผลประโยชน์ของตนเอง ธุรกิจไทยก็ต้องปรับตัวให้ทันเช่นกัน การทำความเข้าใจรายละเอียดของข้อตกลงและนโยบายการค้าของทั้งสองมหาอำนาจ รวมถึงข้อเสนอที่ไทยยื่นต่อสหรัฐฯ จะเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนธุรกิจในระยะต่อไป”
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ความท้าทาย แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและสร้างความแตกต่างได้ การพิจารณาหาตลาดใหม่ ๆ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถยืนหยัดและเติบโตได้ในยุคที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
โอกาสในการปรับตัวสำหรับธุรกิจไทย
อย่างไรก็ตาม บุรินทร์ กล่าวเสริมว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ และเงินเฟ้อก็จะไม่สูง เพราะขาดกำลังซื้อ สิ่งนี้จะทำให้ไทยมีลักษณะคล้ายญี่ปุ่นที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งหมายความว่าค่าเงินบาทอาจอ่อนลงตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจในที่สุด โดยคาดการณ์ว่าปลายปีนี้ค่าเงินบาทอาจอยู่ที่ 35.5 บาทต่อดอลลาร์
“จำนวนประชากรไทยลดลง ดีมานด์ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี และธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ทำให้การฟื้นตัวของประเทศไทยอาจต้องรอโมเมนตัมใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งอาจมาจากการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น หรือการอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ซึ่งต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ”
Business Adaptation & Solution กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตผ่านมุมมองผู้นำ
อภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ให้มุมมองถึงสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเจรจาผ่อนผันและลดภาษีลงบ้าง แต่แก่นแท้ของความขัดแย้งยังคงอยู่ สิ่งที่น่ากังวลคือการที่สหรัฐฯ ต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมพื้นฐาน เช่น การผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างน็อต กลับมาผลิตในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาซัพพลายเชนจากจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
ดังนั้นประเทศไทยมีโอกาสที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนใหม่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี หากสามารถพัฒนาบุคลากรและศักยภาพการผลิตของให้สอดรับกับความต้องการของสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ สินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ข้าวโพด ที่ไทยมีการบริโภคสูงถึง 9 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตได้เพียง 4.5 ล้านตัน ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส หากไทยสามารถนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ได้มากขึ้น จะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ ซึ่งส่งผลดีต่อราคาเนื้อสัตว์ในประเทศอีกทางหนึ่ง
ความท้าทายที่สำคัญ คือ การที่ไทยต้องเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด ซึ่งหากข้อตกลงที่ได้มีความแตกต่างจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เวียดนาม ที่อาจได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า ก็จะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยโดยสถานการณ์นี้เหมือนกับภารกิจ "Impossible Mission" ของทีมเจรจาไทย ที่ต้องทำให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด
“ผู้ประกอบการไทยทุกคนต่างเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ใช่แค่ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่รวมถึง SME ทั่วประเทศ สิ่งที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนมุมมอง และเพิ่มความสนใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ผ่านการทำความเข้าใจสถานะทางการเงิน เพื่อให้รู้ถึงสุขภาพของธุรกิจ และสามารถวางแผนการใช้จ่าย การบริหารเงินสด และการตัดสินใจในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ปรับตัวสู่ Go Digital และ Go Innovation การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน และการพัฒนาสินค้าและบริการให้เป็นนวัตกรรม เป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน สภาอุตสาหกรรมฯ มีโครงการสนับสนุนการ Transformation สู่ Digital และมีกองทุน Innovation One 2,000 ล้านบาท สำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนานวัตกรรม”
รวมทั้ง Go Green: แม้หลายคนจะมองว่าการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) เป็นภาระ แต่แท้จริงแล้วคือโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และสอดรับกับนโยบายของภาครัฐและเครื่องมือทางการเงินที่กำลังสนับสนุนด้านนี้ และสุดท้ายคือ Go Global การนำสินค้าและบริการของไทยออกสู่ตลาดโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ย้ำถึงความกังวลอย่างยิ่งว่าไทยออกตัวช้าเกินไปในเวทีเจรจาการค้าโลก สิ่งที่เกิดขึ้นกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในปัจจุบันนั้น "ไม่เคยเกิดมาก่อน" และไม่สนใจกฎระเบียบใด ๆ ส่งผลให้ซัพพลายเชนทั่วโลกปั่นป่วน หากข้อตกลงการค้าจบลงโดยที่แต่ละประเทศมีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน จะทำให้รูปแบบการค้าเดิม ๆ ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ดร.พจน์ ยังชี้ว่าการหาตลาดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสินค้าแต่ละประเทศมีความต้องการที่แตกต่างกัน การปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตเพื่อรองรับตลาดใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และหากมีการยกเลิกภาษีอีกครั้ง การลงทุนนั้นก็อาจสูญเปล่า ทำให้สถานการณ์อยู่ในภาวะไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้
ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากทั้งการส่งออกที่ชะลอตัว การท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจีนหายไป และความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
ผู้ประกอบการต้องรู้จักแก้ปัญหาจากภายใน จัดการตัวเอง ลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและแตกต่าง เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่คู่แข่งเต็มไปหมด ประคองตัวและรอดให้ได้ ในช่วงที่สถานการณ์ไม่แน่นอนไปทั่วโลกและในประเทศ การประคองตัวให้รอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะหาก SME อยู่รอด เศรษฐกิจไทยก็จะอยู่รอดไปด้วย
ชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย มองว่า SME ไทยเผชิญกับความท้าทายมาหลายปี ตัวเลขธุรกรรมทางการเงินลดลง การส่งออกและการท่องเที่ยวก็ลดลงเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ อย่างไรก็ตาม SME สามารถปรับตัวได้ด้วยตนเอง ดังนี้
1. การบริหารกระแสเงินสด ผู้ประกอบการควรวิเคราะห์กระแสเงินสดเข้า-ออกของธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ และคาดการณ์กระแสเงินสดล่วงหน้าเพื่อวางแผนการใช้จ่ายและบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอ
2. การลงทุนที่สร้างรายได้ หากมีสภาพคล่องส่วนเกิน ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ หรือสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย และมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี
3. กลยุทธ์การตลาดที่รวดเร็ว SME ควรใช้ความได้เปรียบของการปรับตัวที่รวดเร็วในการสู้กับการค้าที่ผันผวนนี้ โดยเน้นการขายผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลายและมีแผนการตลาดที่ยืดหยุ่น
4. การลงทุนด้าน ESG แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่การลงทุนในด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดพลังงาน มีต้นทุนที่ถูกลงและมีจุดคุ้มทุนที่เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มผลตอบแทนได้
5. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน บริหารลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลัง ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของ SME คือลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลัง ผู้ประกอบการควรตรวจสอบระยะเวลาการเก็บเงินจากลูกหนี้และระยะเวลาที่สินค้าอยู่ในคลังอย่างใกล้ชิด เพื่อลดต้นทุนทางการเงินที่ไม่จำเป็น
ด้าน เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้แบ่งปันแนวคิดและตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวในยุคที่มีความผันผวนสูง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพลิกโมเดลธุรกิจ และการมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ นั่นคือ ธุรกิจแฟชั่นแห่งหนึ่งที่พลิกโฉมโมเดลธุรกิจและทำกำไรได้มากกว่าแบรนด์คู่แข่งถึง 5 เท่า หัวใจสำคัญคือการนำแนวคิด "Pre-order" มาใช้ผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อลูกค้ารับชมและสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ธุรกิจจะได้รับเงินทุนเข้ามาตั้งแต่ต้น
ซึ่งช่วยพลิกสมการ Working Capital (เงินทุนหมุนเวียน) ให้เป็นบวกทันทีแม้จะต้องพบกับความเหนื่อยในการสร้างคอลเลคชันใหม่ทุกสัปดาห์ (ปีละ 52 คอลเลคชัน) และต้องผลิตสินค้าให้ทันตามออเดอร์ แต่ข้อดีคือการใช้เทคโนโลยีและแนวคิด Digital First ช่วยให้การออกแบบและทดสอบตลาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้รับเงินลูกค้ามาก่อน ธุรกิจก็สามารถบริหารการชำระเงินให้ซัพพลายเออร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กำหนดการจ่ายเงิน 90 วัน นั่นคือการพลิก Business Model ที่สร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาล
รวมทั้งยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการลองใช้แนวคิด "Zero-Based" คือการสมมติว่าถ้าไม่ได้ทำธุรกิจเดิมอยู่ จะเริ่มต้นจากศูนย์อย่างไร ซึ่งการคิดแบบนี้ช่วยให้ทบทวนและออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ได้อย่างอิสระ ไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมๆ
มองหาตลาดใหม่ อินโดนีเซีย - ตลาดดาวรุ่ง Demographic Bonus
นอกจากโมเดลธุรกิจใหม่แล้ว การมองหา “ตลาดที่มีศักยภาพ” ก็เป็นสิ่งสำคัญ เรืองโรจน์ได้ยกตัวอย่างการลงทุนในอินโดนีเซีย ซึ่งมี "Demographic Bonus" (โครงสร้างประชากรที่ได้เปรียบ) โดยประชากรจะถึงจุดสูงสุดในปี 2045 (อีก 20 ปีข้างหน้า) และมีกลุ่ม "Aspiring Middle Class" หรือชนชั้นกลางที่มีรายได้และกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่คนกลุ่มนี้จะเริ่มจับจ่ายสินค้าที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอาหารและโปรตีน ซึ่งเป็นพื้นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เรืองโรจน์กล่าวต่อไปว่า อินโดนีเซียมีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน และมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึงเท่าตัว อีกทั้ง GDP ต่อหัวยังผ่านจุด "Golden Rich" ที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังซื้อเริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างธุรกิจที่ลงทุนในอินโดนีเซีย สามารถสร้างรายได้ถึง 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 8 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการคว้าโอกาสในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
“ผู้ประกอบการไทยต้องปรับ Mindset ไม่ใช่แค่ตั้งรับ แต่ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ พลิกแพลงโมเดลธุรกิจ นำเทคโนโลยีมาใช้ และพิจารณาทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต รวมถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง AI มาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น (AI Native) กำลังเป็นเทรนด์ที่น่าจับตาในธุรกิจยุคใหม่ มีบริษัทที่เปิดดำเนินการเพียง 18 เดือนแต่มีรายได้ถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วย Productivity ที่สูงถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อพนักงานหนึ่งคน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและศักยภาพของ AI ในการพลิกโฉมธุรกิจ”
เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีความผันผวนสูงและไม่สามารถคาดการณ์ได้ การที่สหรัฐฯ และจีนยังคงอยู่ใน "สงครามที่ยังไม่จบ" ในขณะที่ไทยยังไม่สามารถเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่สำคัญได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญความท้าทายอย่างมาก สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการปรับตัวอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น
โดยทำความเข้าใจสถานการณ์ ติดตามข้อมูลและข่าวสารจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกับปรับกลยุทธ์ธุรกิจ พิจารณาหาตลาดใหม่ สร้างความแตกต่างของสินค้า และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสุดท้ายคือบริหารจัดการภายใน ให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง รวมถึงพิจารณาการลงทุนในระยะยาวที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้
การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย แต่หากมีการเตรียมพร้อมที่ดีและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปจากงาน K SME SIERRA "THRIVE on the E.D.G.E. FORUM 2025” ที่ธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้นเพื่อเรียนเชิญลูกค้าธุรกิจคนสำคัญในโครงการ K SME SIERRA มาร่วมฟังเสวนาเตรียมความพร้อมหาทางออกให้ธุรกิจ ผ่านมุมมองของวิทยากรชื่อดังในแวดวงธุรกิจชั้นนำ ช่วยยกระดับธุรกิจให้โตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยโครงการ K SME SIERRA เป็นโครงการพิเศษสำหรับลูกค้าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและพร้อมขยายธุรกิจ ด้วยโปรแกรม E.D.G.E. (Engagement, Digital Transformation, Growth, Expansion) ที่มุ่งเน้นการให้ความรู้และกลยุทธ์ธุรกิจพร้อมลงมือปฏิบัติจริง รวมถึงโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน พร้อมทั้งส่งมอบบริการธนาคารที่เหนือระดับและสิทธิพิเศษเพื่อเสริมสร้างสุขภาพผู้นำอย่างสมดุล เพื่อผลักดันให้ธุรกิจโต...ไปได้อีก