กรุงเทพฯ สูญเงิน 4.3 แสนล้านต่อปี เพราะปัญหาฝุ่น PM 2.5 เมื่อรัฐตั้งงบสิ่งแวดล้อมไม่ถึง 0.5%

Economics

Thai Economics

Tag

กรุงเทพฯ สูญเงิน 4.3 แสนล้านต่อปี เพราะปัญหาฝุ่น PM 2.5 เมื่อรัฐตั้งงบสิ่งแวดล้อมไม่ถึง 0.5%

Date Time: 22 ม.ค. 2568 10:17 น.

Video

หุ้นถูกมีจริง! เลือกหุ้นปันผลและหุ้นเติบโตยังไงให้รวยในยุคนี้? | Thairath Money Night Stand EP.12

Summary

เปิดข้อมูลวิจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ เมื่อ กรุงเทพฯ สูญเงิน 4.3 แสนล้านต่อปี เพราะปัญหาฝุ่น PM 2.5 “สุขภาพ” กลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่ถูกลืม รัฐตั้งงบสิ่งแวดล้อมไม่ถึง 0.5%

Latest


เช้าวันนี้ ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางของกรุงเทพฯ “มหานคร” ที่เพิ่งคว้าอันดับ 2 เมืองที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2025 จากการจัดอันดับของ “Time Out” มาหมาดๆ

หลังจากถูกเชิดชูว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย ปลอดภัยเหมือนบ้าน และผู้คนมีความสุขมากที่สุดหากแต่ความจริง นี่คือเมืองที่เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ติดอันดับโลกในทุกๆ ปี และเกินค่ามาตรฐานตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 2 เท่าตัว

โดยฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพฯ จะยิ่งมีค่าสูงมากเป็นประจำในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคมของทุกปี ขณะวันนี้ (22 ม.ค. 2568) กรุงเทพฯ จมฝุ่นทุกเขตพื้นที่ และเกินค่ามาตรฐาน อยู่ในโซนสีแดง (มีผลกระทบต่อสุขภาพ) 6 พื้นที่ด้วยกัน

ได้แก่ เขตหนองแขม, เขตบางกอกน้อย, เขตทวีวัฒนา, เขตบางขุนเทียน, เขตภาษีเจริญ และเขตบางบอน ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และกลุ่มเสี่ยงควรอยู่ภายในอาคาร

ความรุนแรงของปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ นอกจากมาจากสภาพอากาศปิดและไม่มีลม ยังเป็นผลมาจากภาวะการจราจรติดขัด ทำให้เกิดมลพิษจากท่อไอเสีย และกิจกรรมก่อสร้างที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองกระจายฟุ้ง

ซึ่งนอกจากสร้างผลกระทบทางสุขภาพให้กับเรา ตั้งแต่เป็นสาเหตุของการไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก หอบหืด เวียนหัว อ่อนเพลีย ตาแดง ไปจนถึงมีผลกระทบรุนแรงให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ปอดอักเสบแล้ว และเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดีแล้ว ฝุ่น PM2.5 ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมากกว่าที่คิด

ปัญหาฝุ่น PM2.5 กับความเสียหายทางเศรษฐกิจ

Thairath Money เจาะข้อมูลวิจัยในเชิงเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาฝุ่น และผลกระทบทางเศรษฐกิจ ของ รศ. ดร.วิษณุ อรรถวานิช สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

โดยพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เผชิญปัญหามลพิษทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำแนวคิด Subjective Well-Being มาประยุกต์ใช้ตีมูลค่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ พบในแต่ละปี ประเทศไทยเสียหายจากปัญหาฝุ่นเป็นเงินมหาศาล

ซึ่ง รศ. ดร.วิษณุ ชี้ว่า หากเรานิยามความพึงพอใจในชีวิต = ความสุข ภายใต้ตัวแปรต่างๆ ได้แก่ รายได้ระดับครัวเรือน, สถานะภาพทางสังคม, สุขภาพ และสถานะของสิ่งแวดล้อมทั้งหมดมาเชื่อมโยงกับหลักประชากรศาสตร์ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นจริงของสภาพอากาศ

เพื่อนำมาคำนวณหา “มูลค่าความเต็มใจที่จะจ่าย” ของครัวเรือนตามหลักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม โดยตั้งสมมุติฐานที่ว่า: ถ้าเราต้องการลดฝุ่นลง 1 ไมโครกรัม ครัวเรือนยินดีที่จะจ่ายเท่าไหร่?

โดยผลการศึกษาดังกล่าว พบว่า ในกรุงเทพฯ แต่ละครัวเรือนจะมีมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายหน่วยสุดท้าย เท่ากับ 6,379.67 บาท/ปี/µg/m3 ของ PM10

ซึ่งถ้านำมูลค่าดังกล่าวมาคูณกับจำนวนครัวเรือนของกรุงเทพฯ ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งมีจำนวน 2,887,274 ครัวเรือน จะพบว่า ทุก ๆ 1 µg/m3 ของ PM10 ที่เกินกว่าระดับปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน จะสร้างความเสียหายให้กับคนกรุงเทพฯ สูงถึง 18,420 ล้านบาทต่อปี

โดยหากนำมาคูณกับความเข้มข้นของฝุ่น PM10 ในกรุงเทพฯ ที่มีค่าเกินระดับปลอดภัยถึง 24.21 µg/m3 (คำนวณจากส่วนต่างระหว่างระดับปลอดภัยของฝุ่น PM10 ตามมาตรฐานที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลกที่ 20 µg/m3/ปี และระดับฝุ่น PM10 ในปี 2560 ซึ่งเท่ากับ 44.21 µg/m3/ปี)

ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า มูลค่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากฝุ่น PM10 ของกรุงเทพฯ จะมีมูลค่าสูงถึง 446,023 ล้านบาท/ปี

ขณะข้อมูลที่ใกล้ที่สุดเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายจาก PM2.5 ต่อครัวเรือนไทย เมื่อปี 2562 จะอยู่ที่ 2.173 ล้านล้านบาท

เฉลี่ยความเสียหายทางเศรษฐกิจตามลำดับ

  • อันดับ 1: กรุงเทพฯ 436,330 ล้านบาท/ปี
  • อันดับ 2: ชลบุรี 80,119 ล้านบาท/ปี
  • อันดับ 3: นครราชสีมา 70,784 ล้านบาท/ปี
  • อันดับ 4: เชียงใหม่ 70,356 ล้านบาท/ปี
  • อันดับ 5: ขอนแก่น 53,466 ล้านบาท/ปี

ในงานวิจัยดังกล่าว ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจ และน่ากังวลมากกว่านั้น คือ มลพิษทางอากาศไม่ได้เกิดจากฝุ่นละออง PM2.5 หรือ PM10 เท่านั้น แต่ยังมีมลพิษทางอากาศจากก๊าซชนิดอื่น เช่น

  • โอโซน (O3)
  • ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)
  • คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
  • ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)

จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งพบว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันมลพิษดังกล่าวมีระดับเกินค่ามาตรฐานที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และสหภาพยุโรป (EU) และยังเกินค่ามาตรฐานของประเทศไทยด้วย

โดยคาดว่าในอนาคตโอโซนจะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นจากภาวะโลกร้อนและแก้ปัญหาได้ยากกว่ามลพิษจากฝุ่นเพราะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ พบว่าปัญหามลพิษทางอากาศของไทยที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ

- รัฐให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อย เห็นได้จากงบประมาณแผ่นดินที่ตั้งไว้สำหรับการปกป้องสิ่งแวดล้อมในช่วง 2560-2566 มีเพียง 0.270-0.491% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด

- รัฐนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อย ทำให้ขาดมาตรการกระตุ้นและแรงจูงใจในการปรับตัวอย่างแท้จริง

- ไทยขาดหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและขาดกฎหมายที่บูรณาการการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

ทั้งหมดสะท้อนว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และ “สุขภาพ” กลายเป็นต้นทุนที่ถูกลืม.

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

อุมาภรณ์ พิทักษ์

อุมาภรณ์ พิทักษ์
เศรษฐกิจ การเงิน ลงทุน และ อสังหาริมทรัพย์