จับตาบริบทพลิกโฉม "ท่าเรือกรุงเทพ" สู่ "สมาร์ท ซิตี้" ดึงโมเดล "โยโกฮามา" พัฒนาท่าเรือไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จับตาบริบทพลิกโฉม "ท่าเรือกรุงเทพ" สู่ "สมาร์ท ซิตี้" ดึงโมเดล "โยโกฮามา" พัฒนาท่าเรือไทย

Date Time: 3 ก.พ. 2568 06:30 น.

Summary

หลัง ครม.ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และมีการร่วมทุนกับคนไทยบนพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 300 ไร่ ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ “การท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือ กทท.” ซึ่งกำลังเดินหน้าจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้กลายเป็นมากกว่า “ท่าเรือ” แต่จะยกระดับให้เป็น “Smart & Green Port”

Latest

นายใหม่หน้าคุ้น

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ...หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และมีการร่วมทุนกับคนไทยบนพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 300 ไร่

ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ “การท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือ กทท.” ซึ่งกำลังเดินหน้าจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้กลายเป็นมากกว่า “ท่าเรือ” แต่จะยกระดับให้เป็น “Smart & Green Port” หรือสมาร์ท ซิตี้ ที่มีประสิทธิภาพการขนส่งสูงสุด ควบคู่กับการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และยกระดับสู่เขตพิเศษด้านท่องเที่ยว

ยิ่งเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา การท่าเรือฯ ได้ขยับครั้งใหญ่ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ ที่เพิ่มวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของการท่าเรือฯ ให้สามารถจัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ทั้งในและนอกราชอาณาจักร เพื่อประกอบธุรกิจกับหรือเกี่ยวเนื่องในกิจการของการท่าเรือฯ และยังเพิ่มเติมให้ กทท.สามารถลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ทั้งในและนอกราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือฯได้ด้วย

ทำให้ล่าสุด เมื่อ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานบอร์ด กทท. และนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. ได้นำคณะสื่อมวลชน ไปร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงกับท่าเรือเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรับการสนับสนุนองค์ความรู้การพัฒนาท่าเรือ และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ นายเกรียงไกร ผู้อำนวยการ กทท. ถึงแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ แบบเจาะลึก รวมทั้งการนำประสบการณ์ของท่าเรือเมืองโยโกฮามา มาต่อยอดพัฒนาท่าเรือในเชิงพาณิชย์ และการยกระดับท่าเรือกรุงเทพ สู่จุดหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของไทยว่า มีทิศทางและแนวทางพัฒนาอย่างไรมาฝากกัน

ยึด “โยโกฮามา” โมเดล พัฒนาท่าเรือไทย

นายเกรียงไกรขยายความว่า การนำคณะสื่อมวลชนมาเยือนท่าเรือโยโกฮามา ญี่ปุ่นครั้งนี้ นอกเหนือจากต้องการให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาท่าเรือโยโกฮามาควบคู่กับการพัฒนาเมืองแล้ว ยังเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 10 ปี ระหว่างการท่าเรือและเมืองโยโกฮามา และลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับใหม่

“การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับใหม่นี้ เป็นการยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้ง 2 ท่าเรือ เพื่อก้าวสู่การเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างกัน”

โดยเมืองโยโกฮามาจะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อร่วมศึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพและใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม รวมทั้งสนับสนุนความช่วยเหลือเชิงวิชาการด้านการพัฒนาท่าเรือสีเขียว การส่งเสริมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งพัฒนาบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการตลาดเชิงรุก รองรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในอนาคต

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นเกาะ ทำให้มีท่าเรือเล็กใหญ่รวมกันกว่า 300 ท่า เป็นท่าเรือหลัก 10 ท่า และในจำนวนนี้มีท่าเรือหลัก 5 ท่า หรือ Major Port ประกอบด้วย ท่าเรือโตเกียว ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือนาโกยา ท่าเรือโอซากา และท่าเรือคาวาซากิ

อย่างไรก็ตาม กทท.ได้ลงนาม MOU แล้ว 4 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือโอซากา ท่าเรือฮากาตะ และ ท่าเรือคิตะคิวชู โดย กทท.ให้ความสำคัญมากกับ ท่าเรือโยโกฮามา เพราะเป็นท่าเรือเบอร์ 1 ด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น มีเรือเข้าออก 171 ลำ มีการขนส่งตู้สินค้าเป็นเบอร์ 2 อยู่ที่ 3 ล้านตู้ หรืออันดับ 68 ของโลก ส่วนท่าเรือโตเกียว ขนส่งสูงสุด 4.6 ล้านตู้ หรืออยู่ที่ 46 ของโลก และถ้านับทั้งประเทศญี่ปุ่น จะมีการขนสินค้ารวม 22 ล้านตู้

“ท่าเรือแหลมฉบังของไทยมีการขนส่ง 9 ล้านตู้ และเมื่อรวมทั้งหมดของไทยอยู่ที่ 10 ล้านกว่าตู้ ไทยเล็กกว่าญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง หากวัดด้วยสเกลของท่าเรือ ที่ของไทยเล็กกว่า จำนวนตู้สินค้าไทยจะมากกว่า แต่ถ้ามองในเชิงตัวชี้วัดสำคัญ 2 ตัว คือ การบริหารหน้าท่าและวัดปริมาณตู้สินค้าที่เข้าออก (CPPI) แล้ว ญี่ปุ่นอยู่ที่เบอร์ 9 ของโลก และการบริหารจัดการเชื่อมโยงระหว่างท่าและการเชื่อมโยงระหว่างสายการเดินเรือเข้าทำธุรกิจในท่าเรือ (LSCI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรมเรือ ญี่ปุ่นอยู่อันดับ 7 ของโลก”

ผุดแผนพัฒนาท่าเรือต่อยอดเชิงพาณิชย์

นายเกรียงไกรขยายความต่อว่า “จากการเดินทางมาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าท่าเรือโยโกฮามามีแนวทางการพัฒนาและกำหนดนโยบายเช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นขนส่งที่มีประสิทธิภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังสอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านจราจร ชุมชน สิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่ Smart & Green Port รองรับการพัฒนาเมือง และเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆกัน

“การดูงานครั้งนี้เป็นประโยชน์กับการท่าเรือฯมาก ทั้งในการพัฒนาท่าเรือ และการนำมาปรับใช้กับท่าเรือของไทย รวมทั้งต่อยอดโครงการต่างๆใน 4 ด้าน คือ 1.การพัฒนาท่าเรือให้เป็นเมืองท่าและศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งสามารถนำการพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ของโยโกฮามามาเป็นหนึ่งในต้นแบบในโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ”

ซึ่งประกอบด้วย โครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอาคารสำนักงาน และพื้นที่สนับสนุนท่าเรือกรุงเทพ (Bangkok Logistics Park) ที่จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้ถึง 1,410 ล้านบาท หรือ 0.01% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ยกระดับภาพลักษณ์ของท่าเรือกรุงเทพให้เป็นท่าเรือทันสมัย สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค

2.การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่หลังท่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน ซึ่งแนวทางพัฒนาพื้นที่หลังท่าของโยโกฮามา โดยเฉพาะการพัฒนาทางยกระดับ เป็นแนวทางที่เราจะนำมาต่อยอด โดยแผนของการท่าเรือฯจะสร้างทางเชื่อมต่อจากท่าเรือกรุงเทพไปยังทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) ซึ่งจะช่วย
เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดปัญหาจราจรติดขัดรอบพื้นที่ท่าเรือ รองรับการขยายตัวของโครงการ Smart Community และ Smart City และเพิ่มมูลค่าที่ดินของการท่าเรือฯ

3.การพัฒนาระบบการให้บริการโลจิสติกส์เพื่อลดปัญหาการจราจร โดยพัฒนาพื้นที่จุดพักรถบรรทุก ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการจราจร (Truck Q) เพื่อลดปัญหาจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ และ 4.การพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว บริหารจัดการและพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาโครงการ Bangkok Port Passenger Cruise Terminal บนพื้นที่ 67.41 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นศูนย์กลางขนส่งและท่องเที่ยวทางน้ำ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจในระยะยาว

จัดโซนนิ่งรองรับ “คอมเพล็กซ์”

“ท่าเรือโยโกฮามา” ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ขนส่งสินค้า แต่ยังเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว โดยเป็นความร่วมมือระหว่างท่าเรือโยโกฮามา ให้สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ ถือเป็นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งนโยบายดังกล่าว ทำให้โยโกฮามาเป็นเบอร์ 1 เรื่องการท่องเที่ยว และเป็นเบอร์ 2 ในการขนส่งตู้สินค้าของญี่ปุ่น นอกจากนี้ จุดเด่นที่สำคัญของท่าเรือโยโกฮามา คือ เรื่องของการพัฒนาพื้นที่ในเขตท่าเรือ

โดยหากเปรียบเทียบกัน ท่าเรือกรุงเทพมีอายุ 73 ปี บริหารจัดการบนพื้นที่ 2,353 ไร่ ขณะที่ท่าเรือโยโกฮามามีอายุถึง 146 ปี มีพื้นที่ท่าเรือกว่า 18,000 ไร่ ใหญ่กว่าท่าเรือกรุงเทพ 7–8 เท่า แต่การบริหารจัดการทำได้ดี โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่มีจุดเด่น คือ มีการกันพื้นที่ หรือจัด
โซนนิ่งชัดเจน

ซึ่งมีความชัดเจนว่า ตรงไหนเป็นโซนท่าเรือ โซนที่อยู่อาศัย โซนอุตสาหกรรม และโซนลงทุนใหม่ โดยการจัดการโซนจะทำให้ไม่เกิดปัญหากับชุมชน ส่วนการขยายพื้นที่ของท่าเรือโยโกฮามา คือ การถมทะเลพร้อมพัฒนาพื้นที่ (มินาโตเมไร) ทำให้เกิดท่าเรือใหม่ เกิดผลที่ตามมา คือ มีศักยภาพในการใช้พื้นที่ขนส่งสินค้าผ่านท่าได้มากขึ้น จุดนี้จะเป็นโมเดลที่การท่าเรือฯจะนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดศักยภาพ และมูลค่าสูงสุดในการใช้พื้นที่ท่าเรือ

นายเกรียงไกรเล่าต่อว่า หากกลับมาดูท่าเรือกรุงเทพจะพบว่า กทท.ใช้พื้นที่เต็มทั้งหมด โดยฝั่งตะวันออกเป็นท่าเทียบเรือเหมือนเดิม ขณะที่ฝั่งตะวันตกที่เป็นพื้นที่ใหญ่มาก เป็นคลังสินค้า ซึ่งการใช้พื้นที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ จึงต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ใช้พื้นที่เก็บสินค้าน้อยที่สุด แล้วเอาพื้นที่ที่เหลือไปพัฒนาเชิงพาณิชย์

“และจึงเป็นที่มาว่า ทำไม กทท.จึงต้องทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ (มาสเตอร์แพลน) โดยขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 4 ชุด เพื่อศึกษารายละเอียดแต่ละด้าน ที่จะจัดทำแผนแม่บท เพื่อบริหารจัดการท่าเรือ ทั้งท่าเทียบเรือ และจัดคลังสินค้าให้เหมาะสม โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้มากขึ้น อีกทั้งจะจัดโซนนิ่งท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว และศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่ เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งเท่ากับว่าจะเป็นการบริหารพื้นที่ในด้านโลจิสติกส์กับการท่องเที่ยว และพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้อยู่ด้วยกันได้”

เปิดหวูดท่าเรือท่องเที่ยว-พัฒนาเมือง

นายเกรียงไกรกล่าวต่อถึงแนวทางการพัฒนาท่าเรือเชิงพาณิชย์ ที่จะสามารถทำให้ท่าเรือเป็นเขตพิเศษด้านการท่องเที่ยวได้ โดยการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้นจะมีเรื่องอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น Food Terminal หรือ Duty Free หรือจะมีอาคารสูงที่สนับสนุนการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต่อยอดการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป

และสิ่งใหม่ที่เห็นจากโยโกฮามา คือ ความยั่งยืนควบคู่กับการทำให้เป็นเมืองทันสมัย เกิดสมาร์ทซิตี้ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ท่าเรือโยโกฮามาจึงจัดโซนในเขตท่าเรือให้เป็น Research and Development Center และเป็นที่มาว่าทำไม กทท.ต้องแก้ไข พ.ร.บ.การท่าเรือฯ เพื่อให้ขยายขอบเขตการทำงาน และการลงทุนได้เพิ่มขึ้น

“เราต้องเรียนรู้จากเขาในส่วนที่เขาทำได้มีประสิทธิภาพ เช่น การลดมลภาวะ การบริหารจัดการ และการออกแบบพัฒนาปรับปรุงโซนเดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และส่วนใหม่ก็ค่อยขยาย ซึ่งจะสอดคล้องกับมาสเตอร์แพลนของท่าเรือกรุงเทพ ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพท่าเรือเดิมที่มีอยู่ ส่วนศูนย์กระจายสินค้าที่มีโกดังสินค้า 17 แห่ง จะยุบและเปลี่ยนเป็นอาคารแนวสูงแทน เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ที่มีความเชื่อมโยงกับท่าเรือ เช่น ธุรกิจแช่เย็น ธุรกิจที่เกี่ยวกับฟรีโซน เป็นต้น วัตถุประสงค์หลักต้องการเปลี่ยนจากรถบรรทุกให้เป็นรถกระบะวิ่งเข้ามามากขึ้น เมื่อมาขนปุ๊บก็ออก เพราะหัวใจของกรุงเทพฯ คือการกระจายขนส่งที่รวดเร็ว คล่องตัว”

กรณีดังกล่าวนี้ นายเกรียงไกรยอมรับว่า หากการท่าเรือฯจะพัฒนาตรงนี้ได้ จะต้องแก้ไข พ.ร.บ.ปัจจุบันให้ท่าเรือตั้งบริษัทลูกได้ ถือหุ้นได้ แต่ต้องเป็นธุรกิจโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับเรือ ซึ่ง พ.ร.บ.ถูกออกแบบมากว่า 70 ปีแล้ว แต่บางครั้งอาจมีข้อสงสัยในการนิยามธุรกิจโดยตรง และที่เกี่ยวเนื่อง การแก้ พ.ร.บ.จะทำให้เกิดความชัดเจนว่า ท่าเรือสามารถทำธุรกิจโดยตรง และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้

“คีย์เวิร์ด” อยู่ตรงนี้ เพราะจะทำให้ท่าเรือสามารถมีลูกเล่น หรือมีอะไรต่างๆที่จะทำให้เกิดประโยชน์มหาศาล เพราะการทำพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ได้ ต้องมีมาสเตอร์แพลนที่ต้องนำเสนอ ครม.ให้เห็นภาพ เมื่อเรามี พ.ร.บ.ท่าเรือใหม่ก็จะเสริมเขี้ยวเล็บให้กับประเทศ สามารถทำธุรกิจโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจร และวันนี้เห็นว่า “ครูซ เทอร์มินอล” มีความจำเป็นกับไทย เพราะกรุงเทพฯเป็นเมือง destination ที่เขาจะมาเที่ยว

ท้ายที่สุด นายเกรียงไกรยืนยันหนักแน่นว่า หลักสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือนั้น ชุมชนต้องได้ด้วย ชุมชนกับ กทท.ต้องอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน การท่าเรือจะต้องสร้างอาชีพให้ชุมชนในพื้นที่ โดยการท่าเรือฯจะจัดโซนนิ่งให้พื้นที่ท่าเรือที่มี 123 ไร่เศษเกิดประโยชน์ ซึ่งถ้าออกแบบดี
ก็จะทำให้ชุมชนหมื่นกว่าครอบครัว มีทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นหลักแหล่งสร้างอาชีพ โดยพัฒนาให้เป็นพนักงานป้อนให้กับธุรกิจที่จะเกิดใหม่ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรากับชุมชนจะต้องโตด้วยกันอย่างยั่งยืน

จากแนวทางการพัฒนาทั้งหมดนี้ “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ได้มอบหมายให้ กทท.ไปจัดทำมาสเตอร์แพลน ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน

และหลังจากนี้ คงต้องดูกันว่า นโยบายรัฐบาลที่จะผลักดันให้มีการพัฒนาการท่าเรือฯนั้น จะเป็นไปได้ดั่งใจตามนโยบายที่ตั้งไว้หรือไม่ และเราจะมีโอกาสเห็น “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” มูลค่าหลักแสนล้าน ที่จะเป็น “จุดหมายท่องเที่ยวใหม่” ของประเทศไทย บนพื้นที่การท่าเรือฯ อย่างที่มีกระแสข่าวออกมาหรือไม่ รอติดตาม.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ