สิ่งที่แบงก์-ค่ายมือถือ-โซเชียลมีเดียต้องชดใช้

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

สิ่งที่แบงก์-ค่ายมือถือ-โซเชียลมีเดียต้องชดใช้

Date Time: 11 ก.พ. 2568 05:14 น.

Summary

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี เสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เดิมคือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566

Latest

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคนิวโลว์ 33 เดือน

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี เสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เดิมคือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เนื่องจากยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่ทันสมัยเพียงพอ เหมาะสม และเท่าทันกับพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพ

เหตุผลความเร่งด่วนในการแก้กฎหมาย ซึ่งบังคับใช้มาได้เพียงปีเศษ มาจากความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ยังอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยวันละ 60-70 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงขวบปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่เฉลี่ยวันละ 100-120 ล้านบาท นอกจากนั้น พ.ร.ก.ฉบับเดิม พ.ศ.2566 ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษ โดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Peer-to-Peer Lending (P2P), อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

การเสนอการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ฉบับเดิม จึงครอบคลุม 1.เพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์ม P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด 2.เพิ่มหน้าที่ให้ผู้ให้บริการมือถือ ต้องระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด 3.เพิ่มหน้าที่การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าของธนาคารต่างๆ ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้รวดเร็วมากขึ้น 4.เพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์ม P2P รวมถึงธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของคนร้าย 5.เพิ่มบทลงโทษผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล 6. เพิ่มบทลงโทษให้สถาบันทางการเงิน เครือข่ายมือถือ สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) มีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยหลังจากนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตรวจพิจารณาร่าง พ.ร.ก. โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา และมีการประกาศในราชกิจ จานุเบกษาแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที คาดว่าไม่เกิน 30 วันหลัง ครม.อนุมัติหลักการ คาดว่าประกาศบังคับใช้ได้ในเดือน ก.พ.-มี.ค.2568

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยัน การปรับปรุงกฎหมายเป็นเรื่องจำเป็น เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และจะสามารถป้องกันและปราบปรามได้มากยิ่งขึ้น

ส่วนการแก้ไขกฎหมายในรายละเอียด ประกอบด้วย 1.ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทคริปโตเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)

2.ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ มีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราวเมื่อพบเหตุอันควรสงสัย

3.ให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หากหน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ใช้ความระมัดระวังที่พึงปฏิบัติในวิชาชีพ

4.ให้อำนาจแก่คณะกรรมการธุรกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน

และนี่เป็นที่มาของการเพิ่มอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับเอกชน ทั้งธนาคาร ค่ายมือถือ รวมทั้งโซเชียลมีเดีย ในการระงับการใช้งานบัญชีและซิม เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่ได้รับการร้องขอ หากพบเหตุอันควรสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรณีนี้รวมทั้งได้รับแจ้งจากผู้เสียหายในฐานะเหยื่อด้วย โดยต้องระงับการใช้งานทุกบัญชีและทุกซิมที่ผู้ต้องสงสัยใช้บริการ ส่วนการเพิกถอนการระงับการให้บริการ ทำได้เมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงาน หรือจนกว่าจะชี้แจงหรือพิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

กรณีเอกชนไม่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ เรื่อง 1.การให้ข้อมูล มีโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท 2.การไม่ระงับการให้บริการที่เกี่ยวข้องหรือต้องสงสัยว่าเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ มีโทษปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท และปรับวันละ 20,000 บาทต่อวัน จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง และหากไม่กระทำทั้ง 2 ข้อ จนเกิดความเสียหายต่อเจ้าของเงินหรือเหยื่อ เบื้องต้นกฎหมายที่เพิ่งผ่าน ครม.ไป กำหนดให้ต้องชดใช้เงินค่าเสียหายเต็มจำนวน.

ศุภิกา ยิ้มละมัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ