“ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายนาวา จันทนสุรคน” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย และข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา รวมถึง “นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และ “นางอารดา เฟื่องทอง” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ถึงการเตรียมความพร้อมรับมือแนวทางการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯ และแนวทางการแก้ปัญหาของภาครัฐ
นับตั้งแต่ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ก็ได้เดินหน้า “นโยบายทางการค้าสหรัฐฯต้องมาก่อน” (America First Trade Policy) ตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ ส่งผลให้ “สงครามการค้า” กับนานาประเทศกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง
โดยได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญ อีก 10% โดยไม่เปิดโอกาสให้จีนได้เจรจาต่อรอง และล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ประกาศขึ้นภาษีเหล็ก รวมถึงอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ 25% โดยใช้อำนาจตามมาตรา 232 (Section 232) กฎหมายขยายการค้า (Trade Expansion Act) และจะมีผลเดือน มี.ค.68
ส่งผลให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มไปยังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งไทยที่ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯด้วย กรณีดังกล่าวจึงกระทบกับการส่งออกไทยในช่วงต่อไปอย่างแน่นอน เพราะสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดส่งออกอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์อันดับ 2 ของไทยรองจากจีน
โดยปี 67 ไทยส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐฯ 1,227.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 18.32% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และสหรัฐฯนำเข้าเหล็กจากไทยเป็นอันดับ 12 สัดส่วน 1.4% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังส่งออกอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐฯ 517.68 ล้านเหรียญ สัดส่วน 15.20% และสหรัฐฯนำเข้าจากไทยอันดับ 12 สัดส่วน 1.66%
“ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายนาวา จันทนสุรคน” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย และข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา
รวมถึง “นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และ “นางอารดา เฟื่องทอง” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ถึงการเตรียมความพร้อมรับมือแนวทางการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯ และแนวทางการแก้ปัญหาของภาครัฐ
นาวา จันทนสุรคน
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก
“นายนาวา” เริ่มต้นบทสนทนา โดยย้ำถึงเหตุผลที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจตาม Section 232 เก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น 25% ว่า เป็นการยืนยันเป้าหมายในการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ และคืนความเป็นธรรมให้ตลาดเหล็กและอะลูมิเนียม แม้มีแรงต่อต้านจากผู้นำเข้าเหล็กกว่า 5,000 ราย
ทั้งนี้ เพราะปี 67 สหรัฐฯนำเข้าเหล็กถึง 28.9 ล้านตัน และเหล็กต่างประเทศมีส่วนแบ่งตลาดเกือบ 30% โรงงานเหล็กในประเทศใช้กำลังการผลิตถดถอยมาอยู่ที่ 75% โดยก่อนหน้านี้ “ทรัมป์” เคยใช้มาตรการนี้ครั้งแรกเมื่อปี 61 โดยกำหนดภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 25% และอะลูมิเนียมเป็น 10% เพื่อลดนำเข้า และทำให้กำลังการผลิตกลับไปที่ 80% เพราะช่วงปี 58 สหรัฐฯนำเข้ากว่า 34 ล้านตัน ส่วนแบ่งตลาดเกือบ 34% และกำลังการผลิตลดเหลือ 73%
“หลังจากใช้มาตรการนี้ ทำให้ปี 62 สหรัฐฯนำเข้าเหลือ 29.8 ล้านตัน โรงงานกลับมาใช้กำลังการผลิตกว่า 80% แต่หลังจากทรัมป์หมดวาระ การนำเข้าก็เพิ่มขึ้น และจีนได้ปรับกลยุทธ์โดยย้ายฐานไปผลิตหรือแปรรูปเหล็กในประเทศอื่น เช่น เม็กซิโก บราซิล เวียดนาม ทำให้ปี 67 จีนส่งออกเหล็กสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 110.7 ล้านตัน”
“ทรัมป์” จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นการใช้มาตรการ โดยจะไม่ยกเว้นการใช้ Section 232 กับบางประเทศ และบางผลิตภัณฑ์อีกต่อไป อีกทั้งขยายการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นไปถึงเหล็กปลายน้ำ
เช่น เหล็กโครงสร้างสำหรับประกอบสำเร็จรูป ลวดเหล็กสำหรับคอนกรีตอัดแรง รวมถึงขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% ซึ่งจะกระทบรุนแรงต่อประเทศที่เคยได้รับการยกเว้น คือ แคนาดา บราซิล เม็กซิโก เกาหลีใต้ เวียดนาม ญี่ปุ่น เยอรมนี ไต้หวัน
“ในเวลาที่สหรัฐฯมองว่าเขาถูกกระทบ แต่หากเปรียบเทียบกัน อุตสาหกรรมเหล็กของไทยสาหัสกว่ามาก เพราะปี 67 ไทยนำเข้ามากถึง 11.4 ล้านตัน แย่งส่วนแบ่งตลาดเหล็กในไทยมากถึง 70% โรงงานเหล็กในไทยผลิตได้เพียง 6.2 ล้านตัน ใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 30% และจากกรณีนี้ ทำให้ไทยยิ่งต้องเตรียมพร้อมรับผลกระทบทั้งทางตรง และผลกระทบต่อเนื่อง”
โดยผลกระทบทางตรง คือ เหล็กไทยที่ยังส่งไปสหรัฐฯได้ คือ ท่อโลหะ และเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป ปีละ 200,000 ตัน สัดส่วน 0.7% ของปริมาณเหล็กนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งออกไม่ได้หรือส่งออกได้ยากขึ้น จากการไม่มีข้อยกเว้น และขยายขอบข่ายของ Section 232 ส่วนผลกระทบต่อเนื่อง คือ ประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นจาก Section 232 อาจต้องหาตลาดอื่นทดแทนอเมริกา จึงต้องจับตาประเทศเหล่านี้ให้ดี โดยเฉพาะเวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน ที่อาจส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังต้องจับตาจีน ซึ่งอเมริกาเพ่งเล็งที่จะใช้มาตรการทางการค้ามากที่สุด แม้ที่ผ่านมาส่งออกเหล็กไปอเมริกาไม่ถึงปีละ 500,000 ตัน เพราะจีนใช้วิธีส่งออกเหล็กไปแปรรูปในประเทศต่างๆที่ได้รับการยกเว้น Section 232 ซึ่งเหล็กแปรรูปเหล่านี้ถูกส่งต่อไปสหรัฐฯ เช่น บราซิล ที่นำเข้าจากจีนปีละ 5 ล้านตัน เม็กซิโก นำเข้าจากจีนปีละ 1.1-1.2 ล้านตัน เมื่อประเทศเหล่านี้ถูกใช้ Section 232 โดยไม่มีข้อยกเว้น จีนคงส่งออกไปประเทศเหล่านี้น้อยลง และอาจทุ่มตลาดมาอาเซียนและไทย
“สงครามการค้าโลกยิ่งรุนแรงขึ้น กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมยิ่งต้องเร่งใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรม ซึ่งขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรมที่เข้มงวดใช้มาตรการต่างๆ ทั้งมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และความปลอดภัยตาม พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อความปลอดภัยของพนักงานในโรงงานและชุมชนข้างเคียง โดยไม่หวั่นอิทธิพลใดๆ”
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
จากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ทีมเศรษฐกิจ” ขอมาต่อกันที่การเตรียมการรับมือของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งดูแลการค้าและการส่งออกโดยตรง
“นายพูนพงษ์” เล่าถึงกระบวนการทำงานให้ฟังว่า “คณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐฯ ที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งขึ้น โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน อยู่ระหว่างวิเคราะห์ผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐฯขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ ทั้งด้านโครงสร้างต้นทุน ความสามารถในการแข่งขันของไทย ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเปรียบเทียบโครงสร้างภาษีกับประเทศคู่แข่ง”
นอกจากนี้ยังติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะและกลยุทธ์การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงเตรียมความพร้อมรับมือนโยบาย และมาตรการทางการค้าใหม่ๆ เพื่อให้ไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
“สำหรับแนวทางการลดผลกระทบนั้น ยังคงเชื่อว่าสหรัฐฯจะเปิดทางให้ประเทศต่างๆเจรจาต่อรอง ซึ่งการเจรจากับไทยนั้น สหรัฐฯต้องการลดขาดดุลการค้ากับไทย จึงอาจเรียกร้องให้ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ดังนั้น ไทยจะเจรจาต่อรองโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรและตลาดในประเทศให้น้อยที่สุด”
ส่วนการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ไทยจะคงเดินหน้าเจรจาต่อเนื่องเช่นกัน โดยจะขอโควตาพิเศษสำหรับสินค้าสำคัญที่ส่งออกไปสหรัฐฯ และกำหนดเงื่อนไขพิเศษสำหรับสินค้าบางประเภท เพื่อขอให้สหรัฐฯยกเว้นปรับภาษีจากเรา พร้อมวางแผนปรับตัวของอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับการขึ้นภาษี และสร้างกลไกชดเชยผลกระทบ
ขณะเดียวกันจะผลักดันให้อาเซียนกำหนดท่าที และมาตรการรับมือร่วมกัน เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง กับสหรัฐฯ เพราะหลายประเทศได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน รวมทั้งเร่งพัฒนาห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของไทยให้มีความยืดหยุ่น และพึ่งพาตลาดสหรัฐฯน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงขยายตลาดไปสู่ภูมิภาคอื่น เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา
“แนวทางที่ต้องดำเนินการ จะต้องรักษาตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่ โดยรักษาสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ และหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความหลากหลายของแหล่งนำเข้าวัตถุดิบ เช่น จีนตอนใต้ อินเดีย ตะวันออกกลาง ควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆให้เสร็จโดยเร็ว”
อารดา เฟื่องทอง
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
ขณะที่การตอบโต้หรือการปกป้องอุตสาหกรรมของไทย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่ให้ได้รับผลกระทบ หรือลดผลกระทบจากสินค้านำเข้า ว่า กรมมีมาตรการดูแลการนำเข้าหลายมาตรการทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard)
รวมถึงมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AC) หรือมาตรการตอบโต้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ที่นำสินค้าที่ถูกใช้มาตรการ AD/CVD มาผ่านกระบวนการเพื่อหลบเลี่ยงการชำระอากร AD/CVD เช่น นำสินค้ามาดัดแปลงเล็กน้อย หรือส่งออกสินค้าที่ถูกใช้มาตรการ AD/CVD ผ่านประเทศ หรือผู้ส่งออกอื่นที่ไม่ถูกใช้มาตรการ หรือที่เรียกว่าการสวมสิทธิ์แอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
ปัจจุบันไทยใช้มาตรการ AD กับ 22 ประเทศ ใน 22 สินค้า ซึ่งมากถึง 19 รายการเป็นเหล็ก เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อน-รีดเย็น เหล็กเคลือบ เหล็กลวด ท่อ ฯลฯ โดยเก็บอากร AD เพิ่มเติมจากอากรขาเข้าปกติ ซึ่งมีตั้งแต่ 0-310.74% ของราคา ซี.ไอ.เอฟ. (ราคาสินค้า รวมค่าขนส่งและประกันภัย)
“ประเทศที่ไทยใช้มาตรการ AD กับสินค้าเหล็กมากที่สุดคือ จีน 12 รายการ รองลงมา คือ เกาหลี ใต้ 8 รายการ, ไต้หวัน 6 รายการ และเวียดนาม 5 รายการ ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศเป้าหมายของสหรัฐฯ ที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯจำนวนมาก”
นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างไต่สวน AD เหล็ก 3 รายการ ได้แก่ อะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรูปตัว H จากจีน และเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นจากเวียดนาม อีกทั้งยังอยู่ระหว่างทบทวนเพื่อต่ออายุมาตรการ AD กับเหล็กอีก 3 รายการ ได้แก่ เหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นจากจีน, เหล็กแผ่นรีดเย็นจากจีน เวียดนาม และไต้หวัน และท่อเหล็กจากเวียดนาม
ขณะเดียวกันยังมีมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยจัดทำบัญชีสินค้าเฝ้าระวังแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทย 49 รายการ ซึ่งมีเหล็กและอะลูมิเนียมรวมอยู่ด้วย เช่น ท่อเหล็ก และเหล็กลวด เป็นต้น รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา (CBP) อย่างใกล้ชิด ในการเฝ้าระวังและตรวจสอบการผลิต ณ ที่ทำการบริษัทสำหรับสินค้าที่อาจเข้าข่ายแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย
“ตั้งแต่ปี 62-67 ได้ทำงานร่วมกัน โดยตรวจผู้ผลิตท่อเหล็ก 3 รายในไทย ซึ่งพบว่ามี 1 ราย สวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดไทย โดยนำเข้าสินค้าจากประเทศต้นทาง แล้วส่งออกมาไทย เปลี่ยนแปลงสินค้าเล็กน้อย แล้วส่งออกต่อไปสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเป็นสินค้าไทย ซึ่งกรมระงับการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของบริษัทนี้แล้ว
และเมื่อปลายปี 66 กรมได้เปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการ AC กับเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีน เพื่อขยายการเก็บอากร AD กับการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วน และไม่เป็นม้วนเจืออัลลอยจากผู้ผลิตจีน 17 ราย ตามที่ผู้ผลิตในไทยยื่นคำร้อง ถือเป็นเคสแรกที่เปิดไต่สวน AC”
แต่ขณะเดียวกันไทยก็ถูกสหรัฐฯใช้มาตรการ AD กับเหล็กรวม 7 รายการ ได้แก่ ท่อเหล็ก (Certain Circular Welded Steel Pipes&Tubes), ข้อต่อท่อเหล็ก, เหล็กแผ่นรีดร้อน, ลวดเหล็กแรงดึงสูง, ท่อเหล็ก (Welded Stainless Steel Pressure Pipe), เหล็กแท่งแบบเกลียว และชั้นเหล็กวางของอเนกประสงค์ และยังถูกใช้มาตรการ CVD อีก 1 รายการ คือ เหล็กแผ่นรีดร้อน
“หากผู้ประกอบการรายใดพบว่า มีการนำเข้าสินค้าที่เข้าข่ายทุ่มตลาด หรือมีการอุดหนุน หรือหลบเลี่ยง AD/CVD สามารถขอรับคำปรึกษา หรือยื่นคำร้องต่อกรม เพื่อให้พิจารณาเปิดไต่สวนได้ หรือหากไทยถูกประเทศอื่นเปิดไต่สวน AD/CVD หรือ Safeguard กรมก็จะช่วยแก้ต่าง และให้คำปรึกษาถึงแนวทางการต่อสู้ด้วย”.
ทีมเศรษฐกิจ